ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – เชียงใหม่ปล่อยคาราวานรณรงค์เนื่องในวัน “เอดส์โลก” เผยในพื้นที่มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 2 คน และติดเชื้อรายใหม่เพิ่มวันละ 3 คน แถมมีแนวโน้มเป็นกลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะนักเรียน-นักศึกษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แนะต้องเร่งเริ่มปูพื้นฐานให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกันตัวเองตั้งแต่เด็ก
วันนี้(1 ธ.ค.52) ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายไพโรจน์ แสงภู่วงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อม ดร.สุรสิงห์ วิศรุตรัตน รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกันทำการปล่อยคาราวานรณรงค์โรคเอดส์ เนื่องในวันเอดส์โลก 1 ธันวาคม ซึ่งคาราวานดังกล่าวนี้จะออกจัดกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งสถานบันเทิง ตั้งแต่เวลา 10.30-23.00 น.เพื่อเป็นการเริ่มกิจกรรมรณรงค์ตลอดทั้งเดือน โดยจะมีการเคลื่อนขบวนไปตามแหล่งชุมชนต่างๆ ในวันที่ 1-2 ธ.ค.52 และตลอดทั้งเดือนนี้
รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงปัญหาเอดส์ในปัจจุบันของจังหวัดเชียงใหม่ว่า พบว่าการติดเชื้อในประชากรกลุ่มอายุน้อยมีแนวโน้มสูงขึ้น ประชากรบางกลุ่มมีโอกาสติดเชื้อสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลและบริการ เช่น แรงงานต่างด้าว แรงงานอพยพ ชายรักชาย ผู้ใช้ยาเสพติด นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่เข้าสู่ระบบการรักษายังต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่องด้วย จากการที่ต้องกินยาตลอดชีวิต รวมทั้งคนชราและเด็กที่รับผลกระทบก็มีจำนวนมากเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ดร.สุรสิงห์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์เฉลี่ยวันละ 2 คน และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 3 คน นอกจากนี้มีผู้ติดเชื้อที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ประมาณ 200 ราย ที่เข้ารับยาต้านไวรัส ซึ่งผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้จะต้องรับยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต คิดเป็นมูลค่าที่จะต้องจ่ายจำนวนมหาศาลในการรักษา ดังนั้นแนวทางการป้องกันที่ดีที่สุดคือการสร้างกระแสความตื่นตัวและส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาการแพร่ระบาดและผลกระทบจากโรคเอดส์ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน
ดร.สุรสิงห์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในอดีตกลุ่มผู้ป่วยโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนงานหรือกลุ่มผู้ที่ไม่มีการศึกษา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งโรคเอดส์ ส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่เป็นกลุ่มที่มีความรู้และมีข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันตัวเองทั้งสิ้น เช่น รู้ว่าต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์แต่ก็ไม่ใช่ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาในเรื่องของทัศนคติที่จะต้องมีการรณรงค์ปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง
นอกจากนี้ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่าค่าเฉลี่ยช่วยอายุของวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมีแนวโน้มลดลงเรื่อย โดยปัจจุบันพบว่าวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมากที่สุดในช่วงอายุ 16 ปี และที่น่าเป็นห่วงคือการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในช่วงอายุ 12-13 ปี เริ่มจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น การให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศศึกษาและการป้องกันตัว จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเริ่มปูพื้นฐานตั้งแต่ช่วงที่เป็นเด็ก เพื่อให้เท่านั้นสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน