เชียงราย – กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเชียงรายยื่นหนังสือจี้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินโครงการประกันราคาข้าวนาปีและข้าวนาปรังด่วน หลังชาวนาเริ่มเก็บเกี่ยวแล้วแต่การดำเนินการยังขาดความชัดเจนและไม่มีความคืบหน้า ขีดเส้นตายรอคำตอบภายใน 3 วัน ก่อนมีมาตรการเคลื่อนไหวกดดันขั้นต่อไป
รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่าวานนี้ (26 ต.ค.52) กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ อ.แม่สาย นำโดยนายบุญแต่ง ธรรมสาร ได้เข้ายื่นหนังสือ ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อขอให้นำเสนอไปยังจังหวัดและรัฐบาลให้เร่งรัดโครงการรับประกันราคาข้าวนาปีและนาปรังปลายปี 2552 และต้นปี 2553
ทั้งนี้ ได้ให้เหตุผลว่าโครงการมีความล่าช้า เนื่องจากได้สอบถามไปยังจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏว่ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ นอกจากจดทะเบียนเกษตรกรเอาไว้เท่านั้น ขณะที่เกษตรกรบางส่วนได้เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวกันแล้ว ทั้งนี้กลุ่มเกษตรกรมีข้อเสนอให้รัฐบาลได้เร่งรัดดำเนินการโดยให้คำตอบภายใน 3 วันไม่เช่นนั้นจะกำหนดแนวทางการเรียกร้องต่อไปโดยไม่ได้ระบุว่าจะกระทำอย่างไร หลังจากในปีที่ผ่านๆ มาเคยมีการกดดันรัฐบาลถึงขั้นปิดถนนมาแล้วหลายครั้ง
นายบุญเรียน โนพะเส้า แกนนำชาวนาผู้ปลูกข้าวใน จ.เชียงราย กล่าวว่าการยื่นหนังสือดังกล่าวเกิดจากการประสานกันของกลุ่มชาวนาในหลายอำเภอ เพื่อหวังให้ทางอำเภอเสนอเรื่องต่อไปยังจังหวัดและรัฐบาลต่อไป
วัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบความชัดเจนของโครงการรับประกันราคาข้าวนาปีและนาปรัง ซึ่งถือว่ามีการดำเนินการโดยรัฐบาลเป็นครั้งแรกในการรับประกันราคาในส่วนข้าวนาปีความชื้น 15% ให้ได้ตันละ 15,300 บาท และข้าวนาปรังตันละ 10,000 บาท โดยราคาดังกล่าวรัฐบาลจะเข้าไปจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาที่เกษตรกรได้ขายให้กับเอกชน แต่ปรากฏว่าจนถึงปัจจุบันแม้ชาวนาจะเก็บเกี่ยวข้าวและเริ่มขายออกไปแล้วแต่มาตรการรับประกันราคาในพื้นที่ก็ยังไม่คืบหน้าใดๆ
ขณะเดียวกัน นายบุญเรียน กล่าวอีกว่าปัจจุบันราคาข้าวนาปีในตลาดกลางต่อความชื้น 15% จำหน่ายตันละประมาณ 14,000 บาท ซึ่งแสดงว่ารัฐบาลจะต้องชดเชยตามราคาประกันให้ตันละ 1,300 บาท ส่วนข้าวนาปรังตันละ 8,400 บาท แสดงว่ารัฐบาลจะต้องชดเชยให้ตันละประมาณ 1,600 บาท แต่ยังไม่มีการดำเนินการประกันราคา
นอกจากนี้ราคากลางดังกล่าวกับราคาที่ท้องตลาดจริงที่ จ.เชียงราย มีความแตกต่างกันด้วย เช่น ข้าวนาปรังที่เริ่มเก็บเกี่ยวนั้นทางเกษตรกรขายได้จริงในท้องตลาดตันละเพียง 6,500-6,700 บาทเท่านั้น ซึ่งมีช่องว่างกับราคาที่กำหนดในตลาดกลางอย่างมาก แต่เมื่อมีการรับประกันราคารัฐบาลจะจ่ายค่าชดเชยโดยหักจากราคากลางเป็นหลัก
“นอกจากจะขอให้รัฐบาลได้เร่งรัดโครงการรับประกันราคาดังกล่าวแล้ว ยังขอให้รัฐบาลได้รับประกันราคาโดยชดเชยจากราคาขายในพื้นที่หรือจ่ายให้กับเกษตรกรตามราคากลางดังกล่าว หรือไม่เช่นนั้นก็มีการผลักดันให้โรงสีข้าวของเอกชนรับซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่สูงใกล้เคียงกับราคากลางด้วยเพราะราคาที่รับซื้อในปัจจุบันถือว่าต่ำและห่างจากราคากลางมากเกินไป" นายบุญเรียน กล่าว
แกนนำผู้ปลูกข้าวรายนี้ กล่าวด้วยว่า ในฤดูกาลเพาะปลูกข้าวปีนี้พบว่ามีเกษตรกรพากันปลูกข้าวนาปรังมากกว่าทุกปี ขณะที่ข้าวนาปีก็มีการปลูกกันมากเป็นปกติอยู่แล้วโดยแค่ในส่วนของ อ.เชียงแสน ก็มีเกษตรกรที่จดทะเบียนในโครงการรับประกันราคาถึงกว่า 20,000 คนแล้ว ดังนั้นแม้ว่าโครงการรับประกันราคาครั้งแรกจะกำหนดจ่ายค่าชดเชยให้กับเกษตรกรรายละไม่เกิน 25 ตัน แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญมากและเพื่อไม่ให้ปัญหาหมักหมมไปจนถึงปลายฤดูเก็บเกี่ยวขอให้รัฐบาลได้เร่งรัดดำเนินการตามโครงการที่ได้วางแผนเอาไว้ด้วย
ส่วนกรณีที่กลุ่มเกษตรกรกำหนดให้เวลารัฐบาลแจ้งความชัดเจนภายใน 3 วันหรือจนถึงวันที่ 29 ต.ค.นี้นั้น หากพ้นกำหนดเวลาไปแล้วมาตรการกดดันของเกษตรกรคงจะไม่ถึงขั้นปิดถนนเพื่อเรียกร้องเหมือนปีที่ผ่านๆ มา แต่บรรดาแกนนำจะไปรวมตัวกันที่ศาลากลาง จ.เชียงราย เพื่อขอประชุมหารือร่วมกับจังหวัดเพื่อหาทางออกของปัญหาต่อไป