ศูนย์ข่าวศรีราชา - ชลประทานแปดริ้ว ระบุ พายุไต้ฝุ่น “กิสนา” อ่อนตัวคลายน้ำ เป็นหยดเม็ดฝนไม่ตรงเป้า หลังจากฝนทิ้งช่วงไม่ตกมานานนับเดือน เผย เตรียมเปิดฝาสองอ่างยักษ์รอท่ารองรับน้ำ แต่ยังได้อานิสงส์เพียงส่วนน้อย ชี้ อาจส่งผลกระทบถึงฤดูกาลแล้งหน้า พร้อมระบุทั้งสองอ่างคู่แฝด แควระบม-สียัด สายเลือดเส้นใหญ่ของคนภาคตะวันออกยังแห้งขอด มีน้ำเหลือไว้ให้ใช้เพียงแค่ครึ่ง แต่ยังมีหวังรอพายุลูกใหม่ ที่เตรียมจ่อเข้าฟิลิปปินส์มาช่วยสมทบอีกแรง
วันนี้ (1 ต.ค.) เวลา 14.30 น.นายสมประสงค์ คูหากาญจน์ ผอ.โครงการชลประทานฉะเชิงเทรา กล่าวเปิดถึงปริมาณน้ำภายในอ่างเก็บน้ำ ขนาดใหญ่ทั้งสองแห่งในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ว่า ขณะนี้น้ำในอ่างเก็บน้ำสียัด ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก สามารถเก็บรองรับน้ำได้มากถึง 420 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มีปริมาณน้ำเหลืออยู่ในอ่างเพียงแค่ 240 ล้าน ลบ.ม.หรือประมาณร้อยละ 50 ของความจุอ่างทั้งหมดเท่านั้น
ถือว่า มีปริมาณน้ำน้อยมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ในช่วงเดียวกัน คือ ในปีที่แล้ว (2551) ในอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ มีน้ำมากถึง 410 ล้าน ลบ.ม.หรือเกือบเต็มล้นอ่าง จึงน่าเป็นห่วงว่า ในช่วงฤดูแล้งของปีหน้าที่จะมาถึง น้ำอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของเกษตรกรใต้เขื่อน ที่ต้องการใช้น้ำในหลายพื้นที่ ทั้งในเขต อ.สนามชัยเขต อ.พนมสารคาม อ.แปลงยาว อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา และในเขต อ.พนัสนิคม อ.พานทอง จ.ชลบุรี รวมพื้นที่การเกษตรมากกว่าหนึ่งแสนไร่ ที่มีการทำนาปรังกันถึง ปีละ 2-3 ครั้ง และอาจปล่อยระบายน้ำให้แก่เกษตรกรทำนาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนอ่างเก็บน้ำคลองระบม ซึ่งมีขนาดความจุ 40 ล้าน ลบ.ม. นั้น ขณะนี้มีน้ำเหลืออยู่ภายในอ่างเพียง 20 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น หรือประมาณร้อยละ 50 ของความจุเช่นเดียวกัน
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ปีนี้สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้น้อยนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการระบายน้ำออกจากเขื่อน ส่งไปให้การช่วยเหลือทั้ง ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และอุปโภคบริโภค ตลอดทั้งปี จึงทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเหลือน้อยกว่าทุกปี ประกอบในปีนี้ฝนมาล่าช้า และทิ้งช่วงมาเป็นเวลานาน หรือตลอดทั้งเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไม่มีฝนตกที่บริเวณเหนือเขื่อนเลย
ส่วนพายุไต้ฝุ่น กิสนา ที่เข้ามาในประเทศไทยตลอด 2 วันที่ผ่านมา ชลประทานจังหวัดฉะเชิงเทรา สามารถเก็บกักน้ำฝนไว้ได้ ภายในอ่างเก็บน้ำสียัดเพียง 10 ล้าน ลบม.เท่านั้น เนื่องจากฝนที่ตกลงมาไม่ตรงกับพื้นที่รองรับน้ำเหนือเขื่อน ซึ่งสามารถวัดปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาได้เพียง 30 มิลลิเมตรเท่านั้น และไม่ได้ตกลงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน
ทั้งนี้ หากพายุไต้ฝุ่นกิสนา ผ่านพ้นไป ก็คงจะมีน้ำเหลืออยู่ภายในอ่างประมาณ 250 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น และอาจจะต้องรอดูพายุลูกใหม่ต่อไป ที่กำลังจะเข้าสู่ประเทศฟิลิปปินส์ ในขณะนี้ว่า จะเข้ามาตรงพื้นที่บริเวณเหนือเขื่อนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากเข้ามาได้ตรงตามความคาดหมาย ก็จะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นถึง 300 ล้าน ลบ.ม.