ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แม่ทัพภาค 2 ไม่สนคำขู่ “ฮุนเซน” แข็งกร้าวสั่งยิงไทยทันทีหากลุกล้ำดินแดน ยันขณะนี้ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุนำไปสู่ความรุนแรงและไม่น่าเป็นห่วง ยืนยันย้ำทหารไทย-กัมพูชาพื้นที่เขาพระวิหารมีความสัมพันธ์ดีต่อกัน ระบุการยั่วยุเป็นเรื่องปกติของ “นายกฯ เขมร” ขณะที่ “ผบช.ภ.3” อยากให้คนไทยสามัคคีเจรจากันด้วยดีคดีปะทะม็อบเถื่อน “ภูมิซรอล” จ.ศรีสะเกษ
วันนี้ (29 ก.ย.) ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน กองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เป็นประธานเปิดอาคาร “วิบูลย์ศักดิ์” พร้อมปลูกต้นไม้ จากนั้นได้เป็นประธานประชุม ผบ.หน่วยกำลังพลกองทัพภาคที่ 2 กว่า 100 นาย โดยมีรองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้ง พล.ต.คมสันต์ มานวะกุล, พล.ต.กนก เนตระคเวสนะ และ พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมประชุมด้วยนานกว่า 1 ชั่วโมง
พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์กรณีสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศสั่งยิงทันทีหากไทยล่วงล้ำดินแดนกัมพูชาด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่า จริงๆ แล้วสถานการณ์ในพื้นที่ไม่น่ามีปัญหา ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของหน่วยทหารระหว่างไทย-กุมพูชา ในพื้นที่เขาพระวิหารมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฉะนั้น ปัญหาที่จะเกิดความขัดแย้งรุนแรงนั้น ตนเชื่อว่ายังไม่น่าจะมีสิ่งบอกเหตุอะไรที่จะเป็นอย่างนั้น ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าเป็นห่วง
ส่วน สมเ้ด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประกาศไม่เจรจาและจะฉีกแผนที่ทิ้งต่อหน้านายกรัฐมนตรีไทยกรณีพิพาทพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) รอบปราสาทพระวิหาร รวมทั้งมีรายงานข่าวจะไม่เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 ที่ประเทศไทยนั้น พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าอันนั้นก็เป็นแต่เพียงข่าวที่ออกมา แต่ข้อเท็จจริงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในพื้นที่ ขอให้สบายใจได้ สถานการณ์ขณะนี้ในพื้นที่ยังเป็นปกติดีอยู่
ต่อคำถามว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรี มักแสดงอาการพยายามยั่วยุให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นนั้น พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวว่า ลักษณะของสมเด็จฯ ฮุนเซน เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่น่าเป็นห่วง
ขณะที่ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) กล่าวถึงการดำเนินคดีกรณีการปะทะกันระหว่างม็อบชาวบ้าน กับกลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.ที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า การดำเนินคดีก็ดำเนินการไปตามกฎหมาย เมื่อมีการแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำตามหน้าที่ ใครแจ้งความหรือร้องทุกข์มาอย่างไรก็สอบสวนดำเนินคดีไปตามนั้น และตำรวจต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งล่าสุดขณะนี้มีการแจ้งความร้องทุกข์แล้วกว่า 30 คดี
“อย่างไรก็ตาม ตำรวจเราเองอยากให้พี่น้องคนไทยด้วยกันเกิดความสามัคคี และต้องหันมาดูความเป็นจริงกัน อะไรที่ทำได้ก็ควรทำและควรคุยเจรจากันด้วยดี เพื่อให้ความสามัคคีเกิดขึ้น” พล.ต.ท.กฤษฎา กล่าว
