ภาพเหตุการณ์กลุ่มชาวบ้านวิ่งเข้าไล่ทำร้าย ฟันแทง ทุบตี ขว้างปาก้อนหิน ท่อนไม้ และระดมยิงหนังสติ๊ก ถล่มประชาชนขบวนภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหาร นำโดย “นายวีระ สมความคิด” อย่างป่าเถื่อน บ้าคลั่ง นำไปสู่การปะทะกันรุนแรงของ 2 ฝ่าย บาดเจ็บระนาว ท่ามกลางกำลังตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกว่า 1,000 นาย บ่ายวันที่ 19 ก.ย.ริมถนนสายกันทรลักษ์-เขาพระวิหาร บริเวณหน้าวัดภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ผ่านมา ได้สร้างคำถามให้กับทุกฝ่ายว่า “มันเกิดอะไรขึ้น !”
คำตอบที่หลั่งไหลมาจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะหน่วยข่าวและฝ่ายความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ล้วนระบุตรงกัน เป็น “ม็อบจัดตั้ง” และเตรียมการมาอย่างดี วางแผนปฏิบัติการเป็นระบบ มีขั้นตอน ที่สำคัญเป็นการผสมโรง “ร่วมกฐิน” ของหลายกลุ่ม ที่เชื่อมโยงลงตัวด้วยธรรมชาติแห่งผลประโยชน์ ทั้งกลุ่มการเมือง “แดง-น้ำเงิน”, ฝ่ายปกครองยุคผู้ว่าฯ “เด็กยี้ห้อย” ครองเมือง และกลุ่มพ่อค้านายทุน - อำนาจสีเขียวชายแดนเขมร ที่หยั่งรากลึกทำมาหากินทั้งค้าขายในทางเปิดเผยและค้าของเถื่อน สิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แถบนี้มาช้านาน
แฉแก๊ง“ส.ส.ทาสแม้ว”ตัวเอ้ม็อบเถื่อน “ภูมิซรอล”
เริ่มจาก “กลุ่มการเมือง” เป็นที่ทราบกันดีว่า พื้นที่ อ.กันทรลักษ์ เป็นฐานที่มั่นทั้งการเมืองระดับชาติ-ท้องถิ่น ของ “นายธีระ ไตรสรณกุล” ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 3 พรรคเพื่อไทย (พท.) และบรรดาแกนนำม็อบ“ภูมิซรอล”ปฏิบัติการป่าเถื่อนในครั้งนี้ นำโดยนายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย และบรรดากลุ่มอบต.เสาธงชัย ซึ่งเป็นกลุ่มมวลชนหลัก นั้น ตัวตนแท้จริง คือ หัวคะแนนคนสำคัญในพื้นที่นี้ของนายธีระ ไตรสรณกุล ส.ส.พท.ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มไอ้พวกหน้าเดิมที่ปลุกระดมชาวบ้านแห่งนี้ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปีที่แล้ว
อีกด้านหนึ่งนายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย คือ พ่อค้าระดับหัวขบวน ที่เปิดขึ้นไปกิจการร้านค้า ทำมาหากินอยู่ บนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ในยามเหตุการณ์ปกติและสูญเสียผลประโยชน์อย่างมากจากที่อุทยานฯ ต้องปิดยาว ซึ่งทางการเคยจัดระเบียบขึ้นทะเบียนไว้พ่อค้ากลุ่มนี้มีประมาณ 70 ร้าน
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า แนวหน้าม็อบป่าเถื่อน “ภูมิซรอล” นั้น กำลังหลักล้วนเป็นกลุ่มแม่ค้าพ่อค้าอุทยานฯเขาพระวิหารและเครือญาติ ที่เดือดดาลเพราะสูญเสียประโยชน์ส่วนตัวจากการปิดอุทยานฯ โดยไม่สนใจใยดีว่าประเทศชาติแผ่นดินไทยจะเป็นอย่างไร เข้าทำหน้าที่เผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่และฝ่ายตรงข้าม พร้อมป้ายผ้าข้อความขนาดใหญ่ปักหลักต่อต้าน แถมมีร้องเสียงตะโกน “ทักษิณสู้ๆ อภิสิทธิ์ออกไป” โผล่มาเป็นระยะๆ ด้วย
ขณะเดียวกัน ได้มีกองกำลังชายฉกรรจ์ กลุ่มวัยรุ่น คอยบุกทะลวง นำอาวุธมีด สปาต้า ท่อนไม้ เข้าไล่ทุบตี ขว้างปาไม้ ก้อนหิน ประสานกับการระดมยิงของ “กองทัพหนังสติ๊ก” กว่า 30 คนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นหน่วย “จรยุทธ์”เข้าซุ่มตามจุดต่างๆ ยิงถล่มเข้าใส่ ทำร้ายทำลาย กลุ่มประชาชนผู้รักชาติหวงแหนแผ่นดินไทย และ รถยนต์ที่ติดตามขบวนหยาวเหยียดหลายกิโลเมตรอย่างบ้าคลั่ง และมันมือ
การปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม เช่นนี้ชาวบ้านทั่วไปทำได้อย่างไร ต้องถาม “ตำรวจเสื้อแดง” ท้องที่ อ.กันทรลักษ์ และตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ที่ยังคงถวายหัวรับใช้ระบอบทักษิณ อย่างคงเส้นคงวา
ด้านฝ่ายเสบียง พบว่า มีการระดมกลุ่มแม่บ้าน มาช่วยกันทำอาหารจัดเลี้ยงชาวบ้านผู้มาชุมนุม ทั้งแกงอ่อม ผักกะหล่ำปลี ส้มตำ ข้าวเหนียว และเครื่องดื่ม อย่างต่อเนื่องแบบไม่อั้น ไม่ต่างกับ “งานบุญกฐิน” ตามต่างจังหวัด ที่ทุกคนต้องอิ่มแปล้ และ เมาขาลากไปตาม ๆ กัน
พ่อเมือง“เด็กยี้ห้อย”โหมไฟปลุกระดมต้าน
กลุ่มที่ 2 “ฝ่ายปกครอง” โดยนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าฯศรีสะเกษ ผู้มีความสัมพันธ์แนบชิด “นายเนวิน ชิดชอบ” นอกจากเรียกประชุมส่งสัญญาณให้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับขบวนทวงคืนเขาพระวิหารอย่างชัดเจนแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ป้ายคัดค้านด้วยข้อความหรูขนาดใหญ่ “ศรีสะเกษสงบแล้ว อย่ามาก่อความวุ่นวาย” , “รักชาติ ไม่ใช่คลั่งชาติ” เป็นต้น ที่ติดตั้งปลุกระดมโหมกระแสต่อต้านตามข้างถนน บริเวณแยกต่างๆ รวมทั้งป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่กลุ่มม็อบเถื่อนภูมิซรอลนำมาใช้นั้น ชาวบ้านชาวไร่ทำนาทั่วไปคงเสกสรรขึ้นมาเองไม่ได้แน่
รวมทั้งกรณี “กำนัน” ตำบลสาธงชัย แกนนำ ตะเพิดไล่ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ลงจากรถปราศรัยและยันยืนไม่ยอมเจรจาด้วย ในวันเกิดเหตุ นั้น เป็นเรื่องเหิมเกริมของ “กำนัน” กินดีหมี มา หรือแค่ละครตบตา ผู้ว่าฯระพี เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ เพราะแม้แต่ “ปลัดอำเภอกันทรลักษ์” ก็ยังเข้าไปนั่งกินข้าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง ฉะไหนเลยจะพูดคุยห้ามปรามกันไม่ได้
อีกทั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ก.ย.การระดมชาวบ้าน นักการเมืองท้องถิ่น ไม่เว้นข้าราชการจากหลายอำเภอมาร่วมทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้ ม็อบเถื่อนภูมิซรอล ภายในวัดบ้านภูมิซรอล ยกก้นกันเองว่าเป็น “วีระบุรุษชายแดน” เป็นปรากฏการณ์ “หางโผล่” ที่ตอกย้ำขบวนการ “ร่วมกฐิน”เฉพาะกิจของฝ่ายปกครองยุค ผู้ว่าฯ “เด็กยี้ห้อย” ครองเมือง กับ กลุ่มการเมือง “แดง” ประสาน “น้ำเงิน” ในการณ์นี้ชัดแจ้งนัก เพราะอย่าลืมว่า นางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ หนึ่งเดียว พรรคภูมิใจไทย นั้นก็อยู่ในเขต 3 เจ้าของฐานที่มั่นแห่งนี้เช่นกัน
ขณะที่นายธีระ ไตรสรณกุล ส.ส. เพื่อแม้ว หัวโจก “ม็อบ” ตัวเอ้ของจริง ถึงขั้นขนคนในสังกัดทั้งนักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการ และชาวบ้าน เข้าร่วมบายศรีสู่ขวัญม็อบเถื่อนด้วยตัวเอง
กลุ่มทุน-สีเขียวค้าของเถื่อนรากลึกชายแดนเดือด
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผลประโยชน์พ่อค้านายทุนที่ร้อยสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจสีเขียวประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นขบวนการทำมาหากินทั้งการค้าขายที่เปิดเผย และค้าของเถื่อน-สิ่งผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่หยั่งรากลึกมานาน ได้เข้ามาผสมโรง สนับสนุนยั่วยุให้กลุ่มชาวบ้านชายแดน ต.เสาธงชัย เดือดดาล ก่อเหตุปะทะสร้างความวุ่นวายให้ยังคงอยู่สืบไป
ทั้งนี้ เพราะสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อย กับการคงอยู่ของภาวะสงครามชายแดน ที่ควบคุมพื้นที่เบ็ดเสร็จโดยทหาร ได้กลายเป็นโอกาสทองของการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของนายทุนและกลุ่มอำนาจสีเขียวชายแดนเพื่อนบ้านแห่งนี้ โดยเฉพาะสมคบกันลักลอบตัดไม้-ค้าไม้พะยูงเถื่อน ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากตามป่าชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวเทือกเขาพนมรัก ไล่ตั้งแต่เขต จ.สุรินทร์- ศรีสะเกษ ไปจนถึง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ส่งขายให้นายทุนไทยผ่านไปยังตลาดต่างประเทศ อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
อย่าลืมว่า “บ้านภูมิซรอล” มีคนต่างถิ่นเข้ามาปักหลักสร้างฐานอยู่เป็นจำนวนมาก จากทั้งในศรีสะเกษ, สุรินทร์, อุบลราชธานี ซึ่งในกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขายกับฝ่ายกัมพูชา หลายคนมีเมียเป็นชาวกัมพูชา บางคนมีสามีชาวกัมพูชา สร้างสายสัมพันธ์กันแนบแน่น ร้อยโยงกับนายทุนชายแดนรายใหญ่และกลุ่มอำนาจสีเขียวเพื่อนบ้านกอบโกยผลประโยชน์ร่วมกันมานาน และนับวันจะขยายเครือข่ายเป็นขบวนการใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่น่าเชื่อว่า ในภาวะชายแดนเดือดระอุเช่นนี้ ตลาดรับซื้อไม้พะยูงชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ ตลาดเถื่อนอัลลองเวง ตรงข้ามด่านถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ กลับคึกคึกเป็นอย่างยิ่ง ราคารับซื้อแบบไม่อั้นพุ่งสูงถึงลูกบาศก์เมตรละ 70,000-100,000 บาท โดยมีคนใกล้ชิดผู้นำหมายเลข 1 กัมพูชา รู้จักกันดีในนาม “ฮุนโต” ร่วม กับ “ญาติคนสนิท” ของ ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา ที่คุมกำลังตลอดแนว ชายแดนด้านนี้ เป็นเจ้ามือรายใหญ่ ในการรับซื้อและสั่งการลักลอบตัด
แม้แต่ ทหารเขมร เอง ก็เอาเวลาส่วนใหญ่แต่งตัวเป็นพลเรือน พกอาวุธ นำเลื่อยยนต์ ออกหาตัดไม้ ในพื้นที่ป่าตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก ทั้งในฝั่งกัมพูชาและเขตแดนไทย โดยไม่เกรงกลัวจะถูกจับ หรือ ถูกยิง
เช่นเดียวกับ ชายแดนเทือกเขาพนมดงรัก ด้านตรงข้าม ปราสาทตาเมือนธม บ.หนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่สถานการณ์ตึงเครียดอยู่ในขณะนี้ ช่วงกลางวันทหารไทยก็ได้ยินเสียงเลื่อยยนต์ตัดต้นไม้ดังกระหึ่มอยู่ห่างตัวปราสาทออกไปราว 1-2 กิโลเมตร แทบทุกวัน
ส่วนการค้าของเถื่อนยาเสพติดชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านนี้นั้นฝ่ายความมั่นคงไทยยืนยันข่าวในทางลับ พบมีตั้งโรงงานผลิตยาบ้าเกิดขึ้นในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านทางด้านชายแดนแถบนี้มานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจว่า บ้านภูมิซรอล ม.2 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ชาวบ้านพื้นเพดั้งเดิมที่นี้เกือบทั้งหมดมีอาชีพทำไร่ ทำนา ซึ่งชาวบ้านเหล่านี้ไม่ได้เดือดร้อนกับการชุมนุมทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) แต่อย่างใด แต่กลับเห็นด้วยอย่างยิ่งและหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวงแหนผืนแผ่นดินไทยทุกตารางนิ้ว แม้แต่ “ปราสาทพระวิหาร” เอง ทุกวันนี้พวกเขายังคงยืนหยัดความเป็นเจ้าของไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง วุ่นวาย การสู้รบ และผลประโยชน์ชายแดนไทย-กัมพูชา แถบนี้ซับซ้อน อ่อนไหว และเป็นปัญหาทับถมกันหลายด้าน ยากที่คนข้างนอกจะเข้าใจ เข้าถึงได้ลึกซึ้ง... คุณไม่รู้หรอกว่า แค่ภูมิซรอล หมู่บ้านชายแดนเล็กๆ แห่งนี้ พอค่ำมืดชาวบ้านกลุ่มหนึ่งก็พากันเข้าไปในป่า ตอนเช้าก็มีของขาย ไม่รู้เป็นของอะไร แต่ร่ำรวย มีรถยนต์ รถบรรทุกหลายคัน ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ตื่นเช้าไปไร่ นา ดิ้นรนทำกินกันไป” ปราชญ์ชาวบ้านภูมิซรอล คนหนึ่งบอกเล่ากับผู้สื่อข่าว