ศูนย์ข่าวศรีราชา-เจ้าหน้าที่กรมศิลป์เข้าตรวจสอบหาความจริง ที่ชาวบ้านแคลงใจพระเก่าหน้าโบสถ์ไม่ใช่พระองค์เดิมที่ลอยน้ำมาในอดีต
นายอาวุธ สุวรรณาศรัย เจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร และ นายวิชัย ตันกิตติกร ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จ.ปราจีนบุรี พร้อมคณะติดตาม ได้เดินทางมาที่วัดอ่างศิลา ต. อ่างศิลา อ.เมือง จ. ชลบุรี หลังจากที่ชาวบ้านได้แจ้งความประสงค์ขอให้ทางเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร มาตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากที่ชาวบ้านเกิดสงสัยว่า พระคู่บารมีหน้าโบสถ์ ที่มีอายุ นับหลาย100ปีหายไป จากที่เดิม เนื่องจากรูปลักษณะพระองค์ที่นำมาตั้ง ณ ปัจจุบันนี้ไม่เหมือนพระองค์เดิมในอดีต ที่ลอยน้ำมาติดฝั่งหน้าชายหาด และได้ถูกเจ้าอาวาสองค์เดิมนิมนต์ขึ้นมาประดิษฐาน ณ ที่หน้าโบสถ์ดังกล่าว
หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไป ก็มีการโยกย้ายปรับปรุงพระคู่บารมีหน้าโบสถ์ใหม่ โดยที่ทางวัดไม่ได้ปรึกษาคณะกรรมการและชาวบ้านเลย จึงทำให้ชาวบ้านไม่รู้ว่า พระที่ได้รับการปรับปรุงให้มีรูปลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิม พร้อมกับนำทองมาเคลือบใหม่นั้น จะเป็นองค์ๆเดียวกับที่ประดิษฐานเมื่อในอดีต ประกอบกับ ชาวบ้านนั้นไม่เป็นที่ให้การเคารพต่อหลวงพ่อพูลทรัพย์ เท่าที่ควร เนื่องจากหลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนา เวลาจะทำอะไรนั้นจะไม่ค่อยปรึกษาชาวบ้านอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ จนชาวบ้านนั้นเกรงกลัวไปต่างๆนานา
ในวันนี้ เจ้าหน้าที่คณะกรมศิลปากร ได้นำชาวบ้านนับ 100 คน พร้อมนำเอกสารจากคณะกรรมการ การตรวจสอบจากชาวบ้านที่มีการยื่นหนังสือร้องเรียนไปถึงฝ่ายปกครองจังหวัด และฝ่ายสงฆ์ เข้ามา พิสูจน์ความจริงว่าพระรูปที่พบเห็นที่หน้าโบสถ์นั้นเป็นพระองค์เดิมหรือไม่ จึงได้ใช้สว่านเจาะที่บริเวณฐานองค์พระเพื่อจะนำเอาเศษวัสดุที่ใต้ฐานออกมาพิสูจน์ ให้รู้กันไปเลย และจากกาพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ก็ออกมาอย่างเด่นชัดว่า เศษวัสดุที่ใต้ฐานพระคู่บารมีหน้าโบสถ์นั้นเป็นพระองค์เดิมจริง
ทั้งนี้ เนื่องจากพบคราบเศษหินปูนขาว และคราบรักษ์นั้นมีอายุหลายร้อยปีเช่นกัน แต่ที่ชาวบ้านเกิดความแคลงใจว่าทำไมองค์พระไม่เหมือนเดิม เนื่องจาก เจ้าหน้าที่คณะกรมศิลป์ได้กล่าวว่า บริเวณฐานองค์พระนั้น ทางวัดไม่มีการปรับแต่งหรือโยกย้าย เหมือนกับด้านบนจึงทำให้ไม่เป็นการยากที่จะพิสูจน์ หากมีการเจาะทำลายด้านบนแล้วจะทำให้องค์พระเกิดความเสียหายได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถที่จะเพียงพอกับการพิสูจน์แล้วว่า พระที่ชาวบ้านเกิดความสงสัยแคลงใจกันมานานนับสิบปีก็คงไม่ได้หายไปไหนอย่างที่คิดก็ยังคงอยู่ที่เดิมตลอดมา เพียงแต่มีการปรับสภาพเพียงเล็กน้อยเพื่อความสวยงามเท่านั้นเอง
หลังจากที่ชาวบ้านรู้ความจริงแล้วถึงกับดีอกดีใจ ที่องค์พระไม่เป็นไปอย่างที่คิดกันมานมนาน ทั้งๆที่ทางวัดได้พยายามบอกกล่าวมาชาวบ้านนานหลายครั้งแล้วเช่นกัน ดังนั้นทางชาวบ้านทั้งหมดได้กล่าวขอขมาต่อองค์พระที่บริเวณหน้าโบสถ์ที่มีการร่วงเกิน และพร้อมที่จะร่วมกันบูรณะให้กลับมามีสภาพคงเดิมต่อไป ส่วนพระที่ดูแลวัดแห่งนี้ แทนหลวงพ่อพูลทรัพย์ ถึงกับโลงใจที่ชาวบ้านได้เข้าใจเสียที่ว่า พระคู่บารมีหินลอยน้ำนั้นไม่ได้หายไปไหนอย่างที่คิด
นายอาวุธ สุวรรณาศรัย เจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร และ นายวิชัย ตันกิตติกร ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จ.ปราจีนบุรี พร้อมคณะติดตาม ได้เดินทางมาที่วัดอ่างศิลา ต. อ่างศิลา อ.เมือง จ. ชลบุรี หลังจากที่ชาวบ้านได้แจ้งความประสงค์ขอให้ทางเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร มาตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากที่ชาวบ้านเกิดสงสัยว่า พระคู่บารมีหน้าโบสถ์ ที่มีอายุ นับหลาย100ปีหายไป จากที่เดิม เนื่องจากรูปลักษณะพระองค์ที่นำมาตั้ง ณ ปัจจุบันนี้ไม่เหมือนพระองค์เดิมในอดีต ที่ลอยน้ำมาติดฝั่งหน้าชายหาด และได้ถูกเจ้าอาวาสองค์เดิมนิมนต์ขึ้นมาประดิษฐาน ณ ที่หน้าโบสถ์ดังกล่าว
หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไป ก็มีการโยกย้ายปรับปรุงพระคู่บารมีหน้าโบสถ์ใหม่ โดยที่ทางวัดไม่ได้ปรึกษาคณะกรรมการและชาวบ้านเลย จึงทำให้ชาวบ้านไม่รู้ว่า พระที่ได้รับการปรับปรุงให้มีรูปลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิม พร้อมกับนำทองมาเคลือบใหม่นั้น จะเป็นองค์ๆเดียวกับที่ประดิษฐานเมื่อในอดีต ประกอบกับ ชาวบ้านนั้นไม่เป็นที่ให้การเคารพต่อหลวงพ่อพูลทรัพย์ เท่าที่ควร เนื่องจากหลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนา เวลาจะทำอะไรนั้นจะไม่ค่อยปรึกษาชาวบ้านอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ จนชาวบ้านนั้นเกรงกลัวไปต่างๆนานา
ในวันนี้ เจ้าหน้าที่คณะกรมศิลปากร ได้นำชาวบ้านนับ 100 คน พร้อมนำเอกสารจากคณะกรรมการ การตรวจสอบจากชาวบ้านที่มีการยื่นหนังสือร้องเรียนไปถึงฝ่ายปกครองจังหวัด และฝ่ายสงฆ์ เข้ามา พิสูจน์ความจริงว่าพระรูปที่พบเห็นที่หน้าโบสถ์นั้นเป็นพระองค์เดิมหรือไม่ จึงได้ใช้สว่านเจาะที่บริเวณฐานองค์พระเพื่อจะนำเอาเศษวัสดุที่ใต้ฐานออกมาพิสูจน์ ให้รู้กันไปเลย และจากกาพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ก็ออกมาอย่างเด่นชัดว่า เศษวัสดุที่ใต้ฐานพระคู่บารมีหน้าโบสถ์นั้นเป็นพระองค์เดิมจริง
ทั้งนี้ เนื่องจากพบคราบเศษหินปูนขาว และคราบรักษ์นั้นมีอายุหลายร้อยปีเช่นกัน แต่ที่ชาวบ้านเกิดความแคลงใจว่าทำไมองค์พระไม่เหมือนเดิม เนื่องจาก เจ้าหน้าที่คณะกรมศิลป์ได้กล่าวว่า บริเวณฐานองค์พระนั้น ทางวัดไม่มีการปรับแต่งหรือโยกย้าย เหมือนกับด้านบนจึงทำให้ไม่เป็นการยากที่จะพิสูจน์ หากมีการเจาะทำลายด้านบนแล้วจะทำให้องค์พระเกิดความเสียหายได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถที่จะเพียงพอกับการพิสูจน์แล้วว่า พระที่ชาวบ้านเกิดความสงสัยแคลงใจกันมานานนับสิบปีก็คงไม่ได้หายไปไหนอย่างที่คิดก็ยังคงอยู่ที่เดิมตลอดมา เพียงแต่มีการปรับสภาพเพียงเล็กน้อยเพื่อความสวยงามเท่านั้นเอง
หลังจากที่ชาวบ้านรู้ความจริงแล้วถึงกับดีอกดีใจ ที่องค์พระไม่เป็นไปอย่างที่คิดกันมานมนาน ทั้งๆที่ทางวัดได้พยายามบอกกล่าวมาชาวบ้านนานหลายครั้งแล้วเช่นกัน ดังนั้นทางชาวบ้านทั้งหมดได้กล่าวขอขมาต่อองค์พระที่บริเวณหน้าโบสถ์ที่มีการร่วงเกิน และพร้อมที่จะร่วมกันบูรณะให้กลับมามีสภาพคงเดิมต่อไป ส่วนพระที่ดูแลวัดแห่งนี้ แทนหลวงพ่อพูลทรัพย์ ถึงกับโลงใจที่ชาวบ้านได้เข้าใจเสียที่ว่า พระคู่บารมีหินลอยน้ำนั้นไม่ได้หายไปไหนอย่างที่คิด