ฉะเชิงเทรา - หนุ่มปราจีนฯ ร้อง ผกก.สภ.เมืองปราจีนบุรี-สื่อ ถูกนายจ้างเหี้ยม ใช้อาวุธปืนพกจ่อยิงกลางหลังเจ็บสาหัสหลังเจ้านายเมาขาดสติยิงปืนขึ้นฟ้าหมดโม่ ก่อนล็อคคอจ่อยิง กลางหลัง 1 นัดกระสุนฝังใน เกรงคดีไม่เป็นธรรมบุกยื่นหนังสือร้อง ขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวนใหม่ หลังคดีส่อพิรุธ
วันนี้ (17 ก.ย.) นายสัณวิชัย อินจันทร์ อายุ 29 ปีเลขที่ 69 หมู่ 1 ต.ดงขี้เหล็ก อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี พร้อมญาติและสื่อมวลชนได้เข้าพบ พ.ต.อ.นพดล สุทธิเสริม ผกก.สภ.เมืองปราจีนบุรี ยื่นหนังสือร้องเรียนขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวน สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 52 ได้ถูกนายวีระยุทธ เสภาศีราภรณ์ อายุ 28 ปี นายจ้างใช้อาวุธปืนจ่อยิงที่กลางแผ่นหลัง1นัด ที่บริเวณโรงบรรจุแก๊สเลขที่ 29 ม.2 ต.โนนห้อม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี สถานที่ทำงาน
โดยก่อนเกิดเหตุ นายวีระยุทธ ดื่มสุราเมามายและยิงปืนพกเล่นจนหมดโม่ ก่อนที่จะชวนตนเองดื่มกินด้วยแต่ตนได้ปฏิเสธโดยเห็นว่านายจ้างเมาและมีปืนประกอบกับจะกลับไปไหว้แม่วันแม่ คาดว่านายจ้างไม่พอใจได้ล็อคคอทางด้านหลังพร้อมใช้ปืนจ่อยิง 1 นัด กระสุนปืน เข้าฝังด้านในผ่านบริเวณปอดก่อนถูกนำตัวส่งไปรักษายัง รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
หลังเกิดเหตุ นายสนทะนาพร อินจันทร์ อายุ 35 ปี พี่ชาย ได้เดินทางเข้าพบกับ พ.ต.ท.เอนก อุ่นจันทร์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปราจีนบุรี ซึ่งเป็นเจ้าของคดี พร้อมขอแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ และจะขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานทางคดี
ทางพนักงานสอบสวนบอกกับพี่ชายของตนว่า “ได้รับเรื่องคดีไว้แล้ว ขณะนี้ได้นำตัวผู้ก่อเหตุมาพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติ และจะแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ หลังจากนั้นจะปล่อยตัวกลับไป เนื่องจากผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน”
ระหว่างที่ได้นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมี นายแพทย์ วรวิทย์ เสภาศีราภรณ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ก่อเหตุ ได้พยายามเข้ามาเจรจาต่อรองเพื่อขอให้ยอมความ โดยได้ยื่นข้อเสนอให้เป็นเงินเพียงสามหมื่นบาท แต่ตนยังไม่ยินยอมเจรจาด้วย จนในวันที่ 21 สิงหาคม 2552 หลังออกจากโรงพยาบาลได้รีบเดินทางเข้าไปพบพนักงานสอบสวนในทันที ได้ขอแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุดต่อผู้ก่อเหตุ
แต่พนักงานสอบสวนได้พูดจาบ่ายเบี่ยง ว่า “ยังไม่ต้องแจ้งความดำเนินคดี เพราะได้รับเรื่องไว้แล้ว ขณะนี้เรื่องอยู่กับตนเองแล้ว” ขณะที่กำลังจะเดินทางออกมาจากห้องสอบสวน พี่สาวของตน คือ นางณัฐนันท์ สนับบุญ อายุ 43 ปี ได้เดินทางเข้ามาแสดงความจำนง พร้อมยืนยันที่จะขอเข้าแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุดอีกครั้ง จึงได้ยินยอมให้ลงบันทึกประจำวัน วันที่ 21 ส.ค.52
ต่อมาในวันที่ 22 สิงหาคม นางวารุณี เสภาศีราภรณ์ ซึ่งเป็นมารดาของผู้ก่อเหตุ พร้อมด้วย น้าสาวของผู้ก่อเหตุ เดินทางมายังที่บ้านเพื่อที่จะขอเจรจาต่อรองให้ ยอมความทางคดีโดยยินดีที่จะจ่ายเงินให้เพียงสามหมื่นบาท ทางมารดา เห็นว่าอาวุธปืนยิงเข้าไปถูกอวัยวะส่วนสำคัญภายใน รวมทั้งหัวกระสุนปืนที่ยังคงฝังอยู่ในร่างกายอันจะเป็นอันตรายในอนาคตต่อไปได้ และผู้ก่อเหตุอาจไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันนี้กับบุคคลอื่นอีกได้ จึงไม่ยินยอมตกลงแต่ทางญาติผู้ก่อเหตุ ได้โทรศัพท์มายื่นข้อเสนอผ่านทางญาติอีก ขอให้ยุติการดำเนินคดี อย่างต่อเนื่องอีกหลายครั้ง
ล่าสุด นางณัฐนันท์ พี่สาวเจ้าทุกข์ ไปติดต่อสอบถามพนักงานสอบสวนได้บ่ายเบี่ยงว่า “ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการส่งตรวจลายนิ้วมือ และเขม่าปืน ที่กองวิทยาการ จากนั้นในวันที่ 8 กันยายน 2552 นางณัฐนันท์ พี่สาวได้เข้าไปตรวจสอบยังกองวิทยาการ พิสูจน์หลักฐาน กลับไม่พบว่ามีการลงบันทึกประจำวันในการออกปฏิบัติหน้าที่ หรือแจ้งให้ทางพนักงานฝ่ายวิทยาการ ไปตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานยังที่เกิดเหตุ หรือตรวจสอบเขม่าดินปืนจากตัวผู้ต้องหาหลังเกิดเหตุ และได้รับคำตอบว่าเมื่อผู้ต้องหารับสารภาพแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจเขม่าปืน” และยังอ้างอีกว่า “ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาดึกแล้ว จึงไม่ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่วิทยาการไปตรวจที่เกิดเหตุ”
และเมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมา จึงได้ไปขอดูสำนวนการสอบสวน และขอถ่ายสำเนา จากพนักงานสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนกับปฏิเสธ ที่จะให้ดูสำนวนการสอบสวน และไม่อนุญาตให้ถ่ายสำเนา โดยอ้างว่าให้ไปขอกับผู้บังคับบัญชาจึงจะอนุญาต พร้อมกับบอกว่า ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และจะสู้คดี และพบในสำนวนการสอบสวนกลับมีซองเขม่าดินปืนมาประกอบคดีอีกด้วย ซึ่งไม่ทราบว่ามีแหล่งที่มาจากที่ใด จากพฤติการณ์ดังกล่าว จึงหวั่นว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการสอบสวนจึงขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน