พะเยา - “พิภพ ธงไชย” จวก ส.ส.เพื่อไทยพะเยา ใส่หมวก “ดาวแดง” นำคนเสื้อแดงป่วนเวทีพันธมิตรฯ ครั้งที่ 2 ของภาคเหนือตอนบนที่พะเยา ชี้เป็นการทำผิด รธน. ขัดขวางการใช้สิทธิ์ขั้นพื้นฐานของประชาชน สร้างความแตกแยกในสังคม ชมตำรวจดูแลเข้มแข็งทำให้เวทีเสวนาการเมืองใหม่เมืองกว๊านฯ เกิดขึ้นได้ พร้อมชวนคนเหนือร่วมสร้างการเมืองใหม่
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้กล่าวปราศรัยบนเวที พธม.ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกว่า พะเยาถือเป็นจังหวัดที่ 2 ของภาคเหนือตอนบนที่ทางทาง พธม.ได้เข้าไปเปิดเวทีเพื่อปักธงได้ โดยจังหวัดแรกคือเชียงราย ซึ่งจากบรรยากาศที่พบเห็นในครั้งนี้ทำให้ทราบว่าคนเหนือนั้นกำลังสนใจการเมืองและดู ASTV กันมากขึ้น ส่วนตำรวจก็ออกมาปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ส่วนกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามจะบุกเข้าไปทำลายการประชุมสัมมนาอย่างสงบของกลุ่ม พธม.ในครั้งนี้นั้นตนไม่ขอตำหนิกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะเขาเองก็มีสิทธิในการชุมนุมและเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่นเดียวกับกลุ่ม พธม.ที่เคลื่อนไหวตลอด 193 วันที่กรุงเทพฯ
นายพิภพกล่าวว่า แต่ตนขอตำหนิสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพราะได้พาประชาชนไปกีดขวางการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานในการพบปะหารือของกลุ่มคนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พฤติกรรมของ ส.ส.ดังกล่าวแสดงว่ากระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง เพราะ ส.ส.นั้นไม่ใช่เป็น ส.ส.เฉพาะคนพะเยาหรือคนเสื้อแดง แต่เป็นของคนทั้งประเทศ แต่พฤติกรรมในครั้งนี้กลับทำตัวเป็นผู้ให้การสนับสนุนประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเป็นการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของ ส.ส.ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วทาง ส.ส.น่าจะพาคนเสื้อแดงที่เห็นต่างกับพวกเราหรือไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ เข้าไปนั่งฟังพวกเราอภิปรายภายในร้านศรีสกุลร่วมกันก่อนแล้วจึงถกประเด็นด้วยวิธีสันติ
จากนั้น นายพิภพกล่าวอธิบายถึงวิวัฒนาการของการเมืองไทยจากการเข้าไปบริหารประเทศของพรรคการเมืองต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า หลายพรรคได้มีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศโดยที่ไม่ได้มีประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของพรรค แต่เป็นพรรคของกลุ่มคนหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งดังนั้นเมื่อบริหารประเทศก็ทำไปเพื่อตัวเองและพวกพ้อง หรือแม้แต่จะพัฒนาแต่ละพื้นที่บางครั้งก็ระบุว่าจะกระจายงบประมาณไปยังจังหวัดที่เลือกพรรคของตัวเองก่อนส่วนพรรคไหนไม่เลือกก็จะจัดสรรงบประมาณไปทีหลัง ดังนั้นพรรคไทยรักไทยที่เคยระบุในอดีต
สรุปว่ากลุ่ม พธม.กำลังจะพัฒนาการเมืองใหม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี โดยกลุ่ม พธม.จะใช้เครื่องมืออยู่ 2 ตัวคือ 1.พรรคการเมืองใหม่ที่กำลังร่วมกันจัดตั้งขึ้น และ 2.ภาคประชาชนคือกลุ่ม พธม.ซึ่งภาคประชาชนจะมีความสำคัญมากกว่า ดังนั้นพรรคการเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้นจึงอิงกับประชาชน ส่วนอุทาหรณ์จากพรรคการเมืองต่างๆ ที่ล้มไปนั้นก็เกิดการไม่อิงกับประชาชน
“การที่คนเหนือลุกขึ้นมาต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเพื่อคนเหนือเท่านั้น แต่คนภาคเหนือกำลังจะมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่ของสังคมไทยทั้งประเทศด้วย” นายพิภพ กล่าวและหยิบยกประวัติศาสตร์ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยนำประเทศญี่ปุ่นมาระบุว่าก่อนแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จักรพรรดิประเทศญี่ปุ่นไม่เคยปรากฎตัว ประชาชนไม่เห็นพบเห็นพระพักต์หรือแม้แม้แต่เสียงก็ไม่เคยได้ยิน กระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และประเทศสหรัฐอเมริกาเตรียมจะเข้าไปทำลายโดยเห็นว่าการจะทำลายญี่ปุ่นได้นอกเหนือจากการใช้กำลังทางทหารบุกเข้าไปต้องคือ 1.ทำลายประวัติศาสตร์ 2.ล้มล้างสถานบันกษัตริย์ และ 3.นำศาสนาอื่นเข้าไปเผยแพร่
แต่องค์จักรพรรดิญี่ปุ่นกลับใช้ช่วงนั้นเผยแพร่เสียงออกทางวิทยุให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์และยอมแพ้ ซึ่งแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ตกใจที่ได้ยินเสียงของจักรพรรดิของประเทศตัวเองเป็นครั้งแรก ทำให้ญี่ปุ่นยังคงรักษาไว้ซึ่งประวัติศาสตร์และสถาบันกษัตริย์ กระทั่งสามารถดำรงค์อยู่ได้ซึ่งประเทศที่เจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันซึ่งตนของบอกว่านี่คือความสำคัญอย่างยิ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยจึงจะคงมีอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญต่อไป