ศูนย์ข่าวขอนแก่น - คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกฝาแฝดจะต้องเหนื่อยเป็นสองเท่า แต่สำหรับ คุณ เลราวดี สาวชำนาญ คุณแม่ชาวจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีลูกสาววัย 7 ขวบ และลูกชายฝาแฝดวัย 3 ขวบครึ่ง ต้องเหนื่อยมากยิ่งขึ้นหลายเท่า ด้วย น้องขลุ่ย น้องแคน ลูกชายฝาแฝดมีภาวะบกพร่องเป็นโรคออทิสติก แต่เธอก็ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของลูก หวังให้ลูกใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กทั่วไป ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ..จะพาไปติดตามเรื่องราวของแม่ผู้มีใจนักสู้ ท่านนี้
เลราวดี สาวชำนาญ วัย 32 ปี ชาวตำบลหนองกุง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เล่าเรื่องราวของเธอกับ “ASTV ผู้จัดการ” ว่า เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของน้องขลุ่ยและน้องแคน ลูกชายฝาแฝด เมื่อวัยประมาณ เกือบ 2 ขวบ เนื่องจากประสบการณ์ที่มีน้องขิม ลูกสาวคนโต ซึ่งเมื่อครั้งในช่วงวัยเกือบ 2 ขวบนั้น เริ่มพูดจาสื่อสารกับพ่อแม่และคนในครอบคัวได้บ้างแล้ว แต่กับน้องขลุ่ยและน้องแคน กลับยังไม่มีท่าทีที่จะพูดสื่อสารได้ จึงรีบไปปรึกษาแพทย์
จนกระทั่งแพทย์ วินิจฉัยจากอาการและการสอบถามพ่อแม่แล้ว จึงบอกว่า น้องขลุ่ย และน้องแคน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความสามารถในการสื่อสาร การใช้จินตนาการ อารมณ์ และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ แตกต่างจากเด็กปกติ ซึ่งเป็นอาการของเด็กออทิสติก
แม้จะรู้สึกตกใจ แต่คุณแม่น้องขลุ่ยและน้องแคน ก็ตั้งสติยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวอย่างไม่ท้อแท้
“แม่ก็พยายามคิดถึงความหมายที่แท้จริงของออทิสติก ว่าเป็นยังไง แล้วก็ตั้งสติยอมรับให้ได้ ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร แต่เราจะมัวแต่ทำใจเฉยๆ ไม่ได้ พอรู้ว่ามีที่ไหนที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกได้ แม่ก็รีบพาไปทันที”
เลราวดี ต้องหอบหิ้วลูก สลับกันวันละคน เพื่อพาไปรับบริการการกระตุ้นพัฒนาการเด็กออทิสติก ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จ.ขอนแก่น โดยนั่งรถโดยสารจากหน้าบ้านไปถึงปากซอยเข้าศูนย์ และต้องอุ้มลูกเดินต่อ ไปอีกระยะทาง 800 เมตร
วันไหนโชคดีมีรถคุณครูผ่านมาพอดี คุณครูก็จะจอดรับเข้าไปด้วย ส่วนขากลับก็ติดรถผู้ปกครองคนอื่นออกมาขึ้นรถโดยสารกลับบ้านที่ ต.หนองกุง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น
“เมื่อคุณหมอแนะนำให้พาไปที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เราก็รีบพาไปทันทีค่ะ แต่ต้องพาไปวันละคนค่ะ สลับกันไป โชคดีที่รถโดยสารจากน้ำพองไปขอนแก่นมีผ่านหน้าบ้าน ขาไปก็ไม่ลำบากมากค่ะ แต่ขากลับบางครั้งน้องจะหลับ เราก็ต้องอุ้มขึ้นบ่า ถ้าไปพร้อมกันสองคนแม่ก็ไม่ไหว อีกคนที่ไม่ได้ไปศูนย์การศึกษาพิเศษ ก็จะฝากกับคุณยายที่ตลาด กลับมาบ้านเราก็จะใช้สื่ออุปกรณ์ที่ทางศูนย์ทำให้และแนะนำให้ทำเพิ่มเติม มาฝึกลูก”
คุณแม่น้องขลุ่ย น้องแคน เล่าถึงความพิเศษของลูกชายฝาแฝด ว่า ความที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน เพื่อนบ้านจะแยกไม่ออก ก็จะมาสังเกตที่นิ้วมือของน้อง เนื่องจากเด็กชายฝาแฝดทั้งสองมีนิ้วเกินมาคนละหนึ่งนิ้ว แต่อยู่คนละข้าง คือ น้องขลุ่ย มีนิ้วเกินข้างขวา ส่วนน้องแคนนิ้วเกินข้างซ้าย ทำให้มีผลต่อการหยิบจับสิ่งของด้วย
เลราวดี ได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดดูแลเอาใจใส่กระตุ้นพัฒนาการของลูก กระตุ้นกล้ามเนื้อ การสัมผัส การใช้สายตา และพัฒนาการการสื่อสาร ด้วยการใช้สื่ออุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการใช้ภาพ เป็นสื่อหลัก เพื่อให้ลูกค่อยๆ เรียนรู้กิจวัตรประจำวัน ตามคำแนะนำของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่นอย่างสม่ำเสมอ จนปัจจุบันน้องขลุ่ยน้องแคนอายุ 3 ขวบครึ่ง สามารถตอบรับกับการใช้สื่ออุปกรณ์ได้มากขึ้น ยิ่งช่วยเติมกำลังใจให้ผู้เป็นแม่
“ดีใจค่ะ ดีใจมาก เริ่มมีรอยยิ้มที่สดใสขึ้น จากที่ทุกข์ใจ แม่ก็มีกำลังใจ เหมือนกับว่าที่เราช่วยเค้ามันดีนะ และเราต้องช่วยเค้าเรื่อยๆ ค่ะ เรารู้ว่าโรคนี้รักษาไม่หาย แต่ก็จะปลอบใจตัวเอง เหมือนหลอกตัวเองว่าเค้าจะดีขึ้น คือ เราอยากให้น้องดูแลตัวเองได้บ้าง ให้เขาไม่ต้องเป็นภาระของสังคม เท่านี้เราก็พอใจแล้วค่ะ”
ด้าน ดร.สมพร หวานเสร็จ ผ.อ.ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จ.ขอนแก่น กล่าวชื่นชมครอบครัว “สาวชำนาญ” เป็นครอบครัวตัวอย่าง ที่เอาใจใส่ดูแลลูกแม้จะเหน็ดเหนื่อยและมีความลำบาก
“การดูแลเด็กฝาแฝดก็ลำบากอยู่แล้ว แต่คุณเลราวดี และคุณพ่อ สู้กันเต็มที่ดูแลน้องขลุ่ย น้องแคน ที่ต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ และตัวคุณเลราวดีมีจุดเด่นมากคือชอบร้องเพลงให้ลูกฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอมีความสามารถและรู้ใจลูกที่ชอบฟังแม่ร้องเพลง
จนทุกวันนี้เสียงเพลงของแม่ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมพัฒนาการของลูก ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงจากแม่ ตัวน้องขลุ่ยและน้องแคนจะหยุดการเคลื่อนไหวอื่น และเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เพื่อสัมผัสไออุ่นจากแม่ทันที ซึ่งครอบครัวไหนที่พ่อแม่เอาใจใส่ต่อลูกเช่นนี้ ลูกจะพัฒนาได้ดี
ก็ขอชื่นชมคุณแม่น้องขลุ่ย น้องแคน และคุณพ่อค่ะ ว่า เป็นครอบครัวตัวอย่าง เป็นคนใจสู้และรู้จักจุดเด่น จุดด้อยของลูก จุดไหน เวลาไหนที่จะต้องใช้วิธีไหนกระตุ้นพัฒนาการลูก คือ มีความเข้าใจในลูก เชื่อมั่นในศักยภาพของน้อง ก็ทำให้น้องมีพัฒนาไปได้ดี”
ดร.สมพร กล่าวถึงความสำคัญของพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กออทิสติก ที่ต้องร่วมมือในการกระตุ้นพัฒนาการของลูก
“พ่อแม่มีความสำคัญมากนะคะ เพราะทางศูนย์เป็นผู้ให้บริการช่วยเหลือ ก็เหมือนช่วยแนะนำตัวยา เวลาที่เด็กอยู่ที่ศูนย์แค่ช่วงกลางวัน แล้วช่วงกลางคืนและช่วงเช้าล่ะ ก็ต้องเป็นพ่อแม่ที่จะให้ยากับลูกได้ คือ ให้การกระตุ้นพัฒนาการกับลูกได้
ถ้าคุณพ่อคุณแม่สู้ อย่างครอบครัวคุณเลราวดี ที่คุณพ่อคุณแม่มั่นใศักยภาพของตนเอง และมั่นใจศักยภาพของลูก พ่อแม่เก่ง ลูกก็จะเก่งด้วย ถึงจะเก่งในแบบของเขา แต่เขาก็เก่งค่ะ” ผ.อ.ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จ.ขอนแก่น กล่าว
นอกจากการใช้สื่ออุปกรณ์กระตุ้นพัฒนาการแล้ว ทางศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จ.ขอนแก่น ยังได้นำครูมาแนะแนวทางในการสร้างสนามกระตุ้นพัฒนาการเพื่อส่งเสริมทักษะการเคลื่อนไหวให้กับเด็กด้วย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่น้องขลุ่ย น้องแคน ได้ใช้เครื่องเล่นต่างๆ ในสนามนี้เป็นอีกส่วนสำคัญกระตุ้นพัฒนาการของลูก
ทั้งนี้ นอกจากจะส่งเสริมทักษะการเคลื่อนไหว และฝึกสัมผัสพื้นผิวที่แตกต่างกันแล้ว เครื่องเล่นในสนามกระตุ้นพัฒนาการนี้ ยังเป็นตัวช่วยให้ฝาแฝดคู่นี้ได้ใช้พลังงานจากการเคลื่อนไหวเต็มที่ในสนาม เมื่อออกมานั่งพักจะได้ทำกิจกรรมจากสื่ออื่นๆ ได้มากขึ้น
เลราวดี บอกว่า แม้จะเหนื่อย แต่เธอยังโชคดีที่คนในครอบครัวทั้งสามี น้องขิมลูกสาวคนโตวัย 7 ขวบ และ คุณตา คุณยาย ต่างเข้าใจความเป็นเด็กออทิสติกของน้องขลุ่ยและน้องแคนที่ต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ และเพียงได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของลูกแล้ว ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่มี..ก็หมดไป
“ถึงเค้าจะพูดไม่ได้ เวลาเค้าจะแสดงความรักกับเรา เค้ามากอด มาหอม มองสบตาแม่ แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ....” เลราวดี กล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความอบอุ่นในหัวใจของผู้เป็นแม่