ชัยภูมิ- “พล.อ.พิจิตร” องคมนตรี ชี้เวลานี้บ้านเมืองเราสู้เขาไม่ได้ เหตุที่ผ่านมาไม่เน้นสร้างทรัพยากรมนุษย์ ทุ่มสร้างแต่สิ่งก่อสร้างอาคาร ถนนหนทาง และคนไทยไม่เอาจริงเอาจังกับการทำงาน ย้ำต้องทุ่มพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า มีคุณภาพ เพื่อให้ลูกหลานเราอยู่คู่แผ่นดินไทยอีกนานแสนนาน ย้ำให้สอนลูกหลานไทยรักหวงแหนสมบัติชาติ ศึกษาเข้าใจกำพืดความเป็นไทย
วันนี้ (31 ก.ค.) ที่ศูนย์เยาวชนเทศบาลเมืองชัยภูมิ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี, นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และประธานมูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวภายหลังเป็นประธานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ทางวิชาการ ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร กับ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ชัยภูมิ เพื่อรับนักเรียนที่จบชั้น ม.6 ในสังกัด อบจ.ชัยภูมิ ทั้ง 26 แห่ง เข้าศึกษาต่อในคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น ว่า ปัจจัยในการพัฒนาตั้งแต่หมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ มีปัจจัย 5 ตัว คือ 4 เอ็ม (M) 1 ที (T) M ตัวแรก คือ Man ทรัพยากรมนุษย์ M ตัวที่ 2 คือ Money งบประมาณ M ตัวที่ 3 คือ Material ทรัพยากรในดิน เครื่องมือ เครื่องใช้ และ M ตัวที่ 4 คือ Management การจัดการ การบริหารที่ดี, ส่วน T คือ Technology ซึ่งผมได้พูดมาตลอด ประเทศไทยเราเก่าแก่เกือบ 800 ปี แต่เราไม่ได้เน้น M ตัวแรก คือ ทรัพยากรมนุษย์ เราไปสร้างแต่อาคาร ถนนหนทาง
ผมได้สำรวจ 2 ปีก่อนเข้า วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) คนในประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องผ่านงานเฉลี่ยหัวละ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลองมาสำรวจดูซิว่าเราทำถึงรึเปล่า ไม่ถึงหรอกครับ เอาราชการเป็นหลักทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เข้า 08.30 น.เลิกงาน 16.30 น.ตอนเที่ยงออกไปกินข้างนอก ช่วงเช้า-เย็นไปรับส่งลูกที่โรงเรียน ก็กินเวลาหลวง เฉลี่ยแล้วคนไทยทำงานสัปดาห์หนึ่งเพียง 33 ชั่วโมง ในขณะที่เกาหลีใต้เขาทำถึง 47.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทั้งที่ประเทศเขาเกิดทีหลังเรา จึงฝากท่านทั้งหลายกลับไปคิดต้องเอาจริงเอาจัง ทำงานก็งาน ทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อให้เกิดความสำเร็จ เวลานี้บ้านเมืองเราถึงสู้เขาไม่ได้
พล.อ.พิจิตร กล่าวต่อว่า ผมพาเด็กไปแสดงแม่ไม้มวยไทยทั่วโลก ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 10 ไปที่ประเทศรัสเซีย พอแสดงเสร็จก็พาเด็กไปเที่ยวชมเมือง ไปเจอครูผู้หญิงพาลูกศิษย์มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ เวลาเขาอธิบาย ผมก็ให้ล่ามช่วยแปลให้ ครูผู้หญิงบอกลูกศิษย์ว่า “นี่คือสมบัติของชาติที่พวกเธอต้องดูแลและหวงแหน” ผมก็ถือโอกาสบอกลูกหลานไทยที่ไปแสดงว่า เขาเป็นคอมมิวนิสต์ เขาสอน แต่เราไม่ได้สอน ไม่ได้ปลูกฝัง ในกรุงเทพฯ เด็กไม่รู้จักพระแก้วมรกต เพราะผู้ใหญ่ไม่เคยพาไปกราบ มีแต่คนต่างชาติที่เข้าไป จึงคิดถึงอนาคตอีก 50 ปี ที่พวกผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่นี้ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว จะมีใครหวงแหน พระแก้วมรกต รึไม่
“ผมไปงานสถานทูต ห้องโถงของโรงแรมชั้น 1 เขียนว่า 716 ปีวันชาติสวิส เกิดเมื่อ ค.ศ.นั้น ผมก็ถามตัวเองว่าประเทศไทยเกิด พ.ศ.อะไร ถามนายกสภามหาวิทยาลัย ก็ตอบไม่ได้ นี้กำพืดของความเป็นไทยเราไม่สอนกัน ผมถือโอกาสบอกตรงนี้ เมื่อสมัยจบใหม่ๆ ไปรอคำสั่งที่กระทรวงกลาโหม กรมยุทธการทหารบก และที่กรมจะมีกองประวัติศาสตร์ มี พ.อ.ถวิล อยู่เย็น เป็นหัวหน้ากอง ขณะนี้เป็น พลโท ยังมีชีวิตอยู่ อายุ 87 ปี
“ท่านบันทึกไว้ว่า ประเทศไทยเกิดสมัยสุโขทัย พ.ศ.1781 กษัตริย์องค์แรก คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มี 3 พ่อขุน เป็นสหายได้ประกาศเอกราชจากขอมมี พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนบางกลางท้าว พ่อขุนผาเมือง และ อนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองยังอยู่ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็นอนุสาวรีย์เล็กๆ แต่เขียนประวัติไว้หมด ผมก็ไปบอกผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ว่า อ.ศรีเทพ เป็นอำเภอเล็กๆ น่าจะไปสร้างใหม่อีกแห่ง เขาก็ไปสร้างที่วงเวียนหล่มสัก ใกล้ๆ ตัวจังหวัด แล้วกราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เปิด ซึ่งพ่อขุนผาเมืองเป็นนักรบที่รบชนะทุกสนามแต่เขาให้ท่านถือไม้เท้า ก่อนเสด็จเปิด 7 วัน ฟ้าผ่าไม้เท้าหัก ต้องเปลี่ยนจากไม้เท้าเป็นดาบ เพราะท่านเป็นนักรบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงๆ”
พล.อ.พิจิตร กล่าวต่อว่า เยาวชนจะต้องได้ศึกษาว่าอนุสาวรีย์สร้างขึ้นเมื่อไร ทำไม มีเหตุผลอะไร ไม่ใช่ว่าพอถึงเทศกาลก็เอาพวงมาลา ดอกไม้ไปวาง แต่ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาทำไม เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราควรต้องปลูกฝังลูกหลานของเรา เพราะเขาจะเป็นผู้สืบต่อจากเรา เขาจะได้เข้าใจกำพืดความเป็นไทย อยู่ที่ไหน อย่างไร
“ที่ผมมาในวันนี้ เพราะเขาสร้างทรัพยากรมนุษย์ เราสร้างแต่สิ่งก่อสร้างมากมายเหลือเกิน แต่เราไม่สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า มีคุณภาพ เพื่อให้ลูกหลานของเราอยู่คู่แผ่นดินไทยอีกนานแสนนาน” พล.อ.พิจิตร กล่าวในตอนท้าย