ศรีสะเกษ - ศิษย์ “หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท” ศรีสะเกษ วุ่นแย่งเงินบริจาค ฝ่ายมูลนิธิโร่แจ้ง ตร.เข้าตรวจสอบเงินหายไป 2 แสน ไม่นำเข้าบัญชี “มูลนิธิ” ขณะรักษาการเจ้าอาวาสยันเงินอยู่ครบ แต่นำเข้าบัญชีวัดอย่างถูกต้อง แฉเชื่อกลุ่มเสียผลประโยชน์ถูกเลิกสัญญาก่อสร้าง “พุทธวิหารหลวงพ่อใหญ่” อยู่เบื้องหลัง หวังทำลายฝ่ายตรงข้ามปั่นหัวชาวบ้านให้เกิดความแตกแยก ด้าน ตร.แนะทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าจับมือร่วมกันพัฒนาวัดตามปณิธาน “หลวงปู่เครื่อง”
วันนี้ (14 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ นายฟื้น บุญช่วย กรรมการมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท พร้อมด้วย นายพรหมเมฆ ปทุมสูตร ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ต.ไชยา แก้วยก พนักงานสอบสวน สภ.อุทุมพรพิสัย เพื่อให้ทำการตรวจสอบเงินจำนวน 2 แสนบาท ที่ทางศาลจังหวัดกันทรลักษ์ บริจาคให้กับมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2552 ซึ่งทางวัดสระกำแพงใหญ่ ได้ออกใบอนุโมทนาบัตรไว้ และลงชื่อรับเงินโดยกรรมการวัดสระกำแพงใหญ่รายหนึ่ง แต่ปรากฏว่า เงินจำนวนดังกล่าวไม่มีการนำเข้ากองทุนมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท แต่อย่างใด
นายฟื้น บุญช่วย กรรมการมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้นำเงินจำนวน 2 แสนบาท มาบริจาคที่วัดสระกำแพงใหญ่ และทางคณะกรรมการวัดได้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้ แต่ปรากฏว่า จนกระทั่งบัดนี้ เงินจำนวน 2 แสนบาท ยังไม่ได้มีการนำมาเข้าบัญชีของมูลนิธิแต่อย่างใด ซึ่งผ่านมาหลายเดือนแล้ว
“สงสัยว่า เงิน 2 แสนบาทนั้น จะถูกยักยอกไปโดยกรรมการของวัด จึงได้มาแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้ทำการตรวจสอบเงินจำนวนดังกล่าว และหากพบว่ามีการยักยอกเงินไปจริง ก็จะให้ตำรวจดำเนินคดีกับกรรมการของวัดทั้งชุด รวมไปถึงรักษาการเจ้าอาวาส รูปปัจจุบันด้วย” นายฟื้น กล่าว
ด้าน พระมหาชัชวาล โอภาโส รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนใกล้ชิดของหลวงปู่เครื่อง สุภัทโท กล่าวถึงกรณีการถูกแจ้งความให้ตรวจสอบเงินบริจาคดังกล่าว ว่า สมัยที่หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีปณิธานที่จะสร้างพุทธวิหารหลวงพ่อใหญ่นาคปรกองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อให้เป็นมรดกของชาวพุทธในอนาคต
โดยที่ผ่านมาได้มีบรรดาศิษยานุศิษย์บริจาคเงินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเดิมทีนั้นเงินที่ได้รับบริจาคมานำจะเข้าบัญชีวัด ชื่อบัญชี หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ทั้งหมด แต่เมื่อมีการก่อตั้งมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ขึ้น เงินที่ได้รับบริจาคมา ก็จะถูกแยกเข้าบัญชีตามแต่ศรัทธาของผู้บริจาคว่าจะบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์ใด
พระมหาชัชวาล กล่าวต่อว่า ในส่วนของเงินจำนวน 2 แสนบาท ที่ทางกรรมการของมูลนิธิหลวงปู่เครื่อง สุภัทโท แจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทำการตรวจสอบนั้น ในวันที่ 27 มี.ค.2552 ที่ทางศาลจังหวัดกันทรลักษ์ นำเงิน 2 แสนบาท มาบริจาค ซึ่งขณะนั้นอาตมาติดภารกิจอยู่ที่กรุงเทพฯ และทางกรรมการวัดได้โทรศัพท์มาหาว่าจะดำเนินการอย่างไร อาตมาได้บอกให้รับไว้และออกใบอนุโมทนาบัตรให้แล้วให้นำเงินเข้าบัญชีของวัดไว้ ที่ธนาคารกรุงไทย สาขา อ.อุทุมพรพิสัย ชื่อบัญชี หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ในวันที่ 30 มี.ค.2552 ตามปกติ เหมือนที่เคยปฏิบัติมาทุกครั้ง เพราะวันที่ 27 มี.ค.นั้นเป็นวันศุกร์นำเงินเข้าบัญชีไม่ทัน
“จนกระทั่งมาทราบในวันนี้ ว่า ได้มีการแจ้งความให้ตรวจสอบเงินจำนวนดังกล่าวจากทางกรรมการมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ขึ้น ซึ่งอาตมายืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาตมาและกรรมการของวัด ได้ดำเนินการในเรื่องของเงินบริจาคอย่างตรงไปตรงมา และมีเป้าหมายว่าจะช่วยกันสานต่อปณิธานของหลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ให้สำเร็จ” พระมหาชัชวาล กล่าว
พระมหาชัชวาล กล่าวอีกว่า สำหรับการแจ้งความให้ตรวจสอบเงินจำนวน 2 แสนบาทในครั้งนี้ ไม่เข้าใจว่าผ่านมาหลายเดือนแล้วทำไมเพิ่งจะมาทักท้วงกัน ทั้งๆ ที่หลักฐานการรับบริจาคต่างๆ ก็มีให้เห็น อาจเป็นเพราะมีกลุ่มคนบางกลุ่มต้องการดิสเครดิตอาตมา และคณะกรรมการของวัดเนื่องจากการเสียผลประโยชน์ในการก่อสร้างพระใหญ่ ซึ่งได้มีการยกเลิกสัญญาไป
ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าภาพใหญ่ที่อำนวยการก่อสร้างพบว่างบประมาณบานปลายไปมาก และไม่มีความชัดเจนในการก่อสร้าง พร้อมทั้งได้ตั้งงบประมาณไว้สูงถึง 2,900,000 บาท ทั้งที่ในช่วงแรกตั้งงบฯ ไว้แค่ล้านกว่าบาทเท่านั้น อีกทั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆ ทางวัดล้วนแต่เป็นผู้จัดหาให้ทั้งสิ้น จึงได้ยกเลิกสัญญาและจัดหาช่างชุดใหม่จาก จ.พิษณุโลก มาทำแทน
“เรื่องนี้อาจทำให้กลุ่มคนดังกล่าวไม่พอใจ เนื่องจากฝังตัวและทำธุรกิจในวัดมานานจึงสร้างเรื่องขึ้นมาและปั่นหัวชาวบ้านให้เกลียดชังอาตมาและคณะกรรมการของวัด แต่อย่างไรก็ตาม อาตมาก็พร้อมที่จะให้ตรวจสอบทุกเมื่อ” พระมหาชัชวาล กล่าว
ทางด้าน ร.ต.ต.ไชยา แก้วยก พนักงานสอบสวน สภ.อุทุมพรพิสัย กล่าวว่า แนวทางในการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เมื่อมีผู้แจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่ก็ได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ถือว่าเป็นคดีอาญาแต่อย่างใด เนื่องจากทางกรรมการของวัดก็ได้มีการยืนยันว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้นำเข้าบัญชีจริงและมีหลักฐานแสดงให้ดูแล้ว
ส่วนทางกรรมการของมูลนิธิที่เข้าแจ้งความ ก็ยังยืนยันว่า เงินจำนวนดังกล่าวจะต้องเข้าบัญชีของมูลนิธิฯ เนื่องจากในใบอนุโมทนาบัตร และ วัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ลงไว้ว่า เข้ามูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท
อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนนั้น ทางกรรมการของวัด กำลังตรวจสอบไปยังผู้บริจาคว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการบริจาค ต้องการเข้ามูลนิธิ หรือ เข้าวัดกันแน่ และหากทางเจ้าของเงินยืนยันว่าต้องการนำเงินเข้ามูลนิธิฯ ทางคณะกรรมการของวัดก็จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาเข้าบัญชีของมูลนิธิ ต่อไป
“ในเรื่องนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายควรจะหันหน้ามาคุยกันอย่างเป็นมิตร เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ได้มีการพูดคุยกันเลย อีกทั้งสำนักงานก็ตั้งอยู่คนละฝั่ง ควรที่จะจับมือกันเพื่อร่วมกันพัฒนาวัด พัฒนาพระพุทธศาสนาและร่วมกันสร้างปณิธานของหลวงปู่เครื่องที่ชาวศรีสะเกษ เคารพรักและศรัทธา ให้สำเร็จลุล่วงต่อไปจะดีกว่า” ร.ต.ต.ไชยา กล่าว
วันนี้ (14 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ นายฟื้น บุญช่วย กรรมการมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท พร้อมด้วย นายพรหมเมฆ ปทุมสูตร ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ต.ไชยา แก้วยก พนักงานสอบสวน สภ.อุทุมพรพิสัย เพื่อให้ทำการตรวจสอบเงินจำนวน 2 แสนบาท ที่ทางศาลจังหวัดกันทรลักษ์ บริจาคให้กับมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2552 ซึ่งทางวัดสระกำแพงใหญ่ ได้ออกใบอนุโมทนาบัตรไว้ และลงชื่อรับเงินโดยกรรมการวัดสระกำแพงใหญ่รายหนึ่ง แต่ปรากฏว่า เงินจำนวนดังกล่าวไม่มีการนำเข้ากองทุนมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท แต่อย่างใด
นายฟื้น บุญช่วย กรรมการมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้นำเงินจำนวน 2 แสนบาท มาบริจาคที่วัดสระกำแพงใหญ่ และทางคณะกรรมการวัดได้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้ แต่ปรากฏว่า จนกระทั่งบัดนี้ เงินจำนวน 2 แสนบาท ยังไม่ได้มีการนำมาเข้าบัญชีของมูลนิธิแต่อย่างใด ซึ่งผ่านมาหลายเดือนแล้ว
“สงสัยว่า เงิน 2 แสนบาทนั้น จะถูกยักยอกไปโดยกรรมการของวัด จึงได้มาแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้ทำการตรวจสอบเงินจำนวนดังกล่าว และหากพบว่ามีการยักยอกเงินไปจริง ก็จะให้ตำรวจดำเนินคดีกับกรรมการของวัดทั้งชุด รวมไปถึงรักษาการเจ้าอาวาส รูปปัจจุบันด้วย” นายฟื้น กล่าว
ด้าน พระมหาชัชวาล โอภาโส รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนใกล้ชิดของหลวงปู่เครื่อง สุภัทโท กล่าวถึงกรณีการถูกแจ้งความให้ตรวจสอบเงินบริจาคดังกล่าว ว่า สมัยที่หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีปณิธานที่จะสร้างพุทธวิหารหลวงพ่อใหญ่นาคปรกองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อให้เป็นมรดกของชาวพุทธในอนาคต
โดยที่ผ่านมาได้มีบรรดาศิษยานุศิษย์บริจาคเงินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเดิมทีนั้นเงินที่ได้รับบริจาคมานำจะเข้าบัญชีวัด ชื่อบัญชี หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ทั้งหมด แต่เมื่อมีการก่อตั้งมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ขึ้น เงินที่ได้รับบริจาคมา ก็จะถูกแยกเข้าบัญชีตามแต่ศรัทธาของผู้บริจาคว่าจะบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์ใด
พระมหาชัชวาล กล่าวต่อว่า ในส่วนของเงินจำนวน 2 แสนบาท ที่ทางกรรมการของมูลนิธิหลวงปู่เครื่อง สุภัทโท แจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทำการตรวจสอบนั้น ในวันที่ 27 มี.ค.2552 ที่ทางศาลจังหวัดกันทรลักษ์ นำเงิน 2 แสนบาท มาบริจาค ซึ่งขณะนั้นอาตมาติดภารกิจอยู่ที่กรุงเทพฯ และทางกรรมการวัดได้โทรศัพท์มาหาว่าจะดำเนินการอย่างไร อาตมาได้บอกให้รับไว้และออกใบอนุโมทนาบัตรให้แล้วให้นำเงินเข้าบัญชีของวัดไว้ ที่ธนาคารกรุงไทย สาขา อ.อุทุมพรพิสัย ชื่อบัญชี หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ในวันที่ 30 มี.ค.2552 ตามปกติ เหมือนที่เคยปฏิบัติมาทุกครั้ง เพราะวันที่ 27 มี.ค.นั้นเป็นวันศุกร์นำเงินเข้าบัญชีไม่ทัน
“จนกระทั่งมาทราบในวันนี้ ว่า ได้มีการแจ้งความให้ตรวจสอบเงินจำนวนดังกล่าวจากทางกรรมการมูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ขึ้น ซึ่งอาตมายืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาตมาและกรรมการของวัด ได้ดำเนินการในเรื่องของเงินบริจาคอย่างตรงไปตรงมา และมีเป้าหมายว่าจะช่วยกันสานต่อปณิธานของหลวงปู่เครื่อง สุภัทโท ให้สำเร็จ” พระมหาชัชวาล กล่าว
พระมหาชัชวาล กล่าวอีกว่า สำหรับการแจ้งความให้ตรวจสอบเงินจำนวน 2 แสนบาทในครั้งนี้ ไม่เข้าใจว่าผ่านมาหลายเดือนแล้วทำไมเพิ่งจะมาทักท้วงกัน ทั้งๆ ที่หลักฐานการรับบริจาคต่างๆ ก็มีให้เห็น อาจเป็นเพราะมีกลุ่มคนบางกลุ่มต้องการดิสเครดิตอาตมา และคณะกรรมการของวัดเนื่องจากการเสียผลประโยชน์ในการก่อสร้างพระใหญ่ ซึ่งได้มีการยกเลิกสัญญาไป
ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าภาพใหญ่ที่อำนวยการก่อสร้างพบว่างบประมาณบานปลายไปมาก และไม่มีความชัดเจนในการก่อสร้าง พร้อมทั้งได้ตั้งงบประมาณไว้สูงถึง 2,900,000 บาท ทั้งที่ในช่วงแรกตั้งงบฯ ไว้แค่ล้านกว่าบาทเท่านั้น อีกทั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆ ทางวัดล้วนแต่เป็นผู้จัดหาให้ทั้งสิ้น จึงได้ยกเลิกสัญญาและจัดหาช่างชุดใหม่จาก จ.พิษณุโลก มาทำแทน
“เรื่องนี้อาจทำให้กลุ่มคนดังกล่าวไม่พอใจ เนื่องจากฝังตัวและทำธุรกิจในวัดมานานจึงสร้างเรื่องขึ้นมาและปั่นหัวชาวบ้านให้เกลียดชังอาตมาและคณะกรรมการของวัด แต่อย่างไรก็ตาม อาตมาก็พร้อมที่จะให้ตรวจสอบทุกเมื่อ” พระมหาชัชวาล กล่าว
ทางด้าน ร.ต.ต.ไชยา แก้วยก พนักงานสอบสวน สภ.อุทุมพรพิสัย กล่าวว่า แนวทางในการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เมื่อมีผู้แจ้งความร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่ก็ได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ถือว่าเป็นคดีอาญาแต่อย่างใด เนื่องจากทางกรรมการของวัดก็ได้มีการยืนยันว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้นำเข้าบัญชีจริงและมีหลักฐานแสดงให้ดูแล้ว
ส่วนทางกรรมการของมูลนิธิที่เข้าแจ้งความ ก็ยังยืนยันว่า เงินจำนวนดังกล่าวจะต้องเข้าบัญชีของมูลนิธิฯ เนื่องจากในใบอนุโมทนาบัตร และ วัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ลงไว้ว่า เข้ามูลนิธิศิษย์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท
อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนนั้น ทางกรรมการของวัด กำลังตรวจสอบไปยังผู้บริจาคว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการบริจาค ต้องการเข้ามูลนิธิ หรือ เข้าวัดกันแน่ และหากทางเจ้าของเงินยืนยันว่าต้องการนำเงินเข้ามูลนิธิฯ ทางคณะกรรมการของวัดก็จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาเข้าบัญชีของมูลนิธิ ต่อไป
“ในเรื่องนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายควรจะหันหน้ามาคุยกันอย่างเป็นมิตร เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ได้มีการพูดคุยกันเลย อีกทั้งสำนักงานก็ตั้งอยู่คนละฝั่ง ควรที่จะจับมือกันเพื่อร่วมกันพัฒนาวัด พัฒนาพระพุทธศาสนาและร่วมกันสร้างปณิธานของหลวงปู่เครื่องที่ชาวศรีสะเกษ เคารพรักและศรัทธา ให้สำเร็จลุล่วงต่อไปจะดีกว่า” ร.ต.ต.ไชยา กล่าว