เทศบาลเมืองมาบตาพุด ร่วมกับนักวิชาการจัดเสวนาทิศทางการเมืองมาบตาพุด หลังประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ

ศูนย์ข่าวศรีราชา - เทศบาลเมืองมาบตาพุดร่วมกับนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม จัดเสวนา “ทิศทางการเมืองมาบตาพุด หลังประกาศเป็นเขตควบคุม” เพื่อสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านที่แตกแยกเป็น 2 กลุ่ม ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ห้องประชุม สำนักงานเทศบาลเมืองมาบตาพุด อำเภอเมืองจังหวัดระยอง นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในการเสวนาในครั้งนี้ โดยมีหน่วยงานในพื้นที่ประกอบด้วย นายสมพงษ์ โสภณ นายกเทศมนตรีเมืองมาบตาพุด พร้อมกับชาวบ้านแต่ละชุมชน ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ พร้อมด้วยนักวิชาการ คือ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ ,นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบ และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายสัญชัย สูติพันธ์วิหาร อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวถึงการจัดเสวนาในครั้งนี้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อประชาชน เพราะจะได้ทราบได้ว่าเมื่อประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ โดยเฉพาะพื้นที่ เช่น จังหวัด, เทศบาล อบต.ชุมชน จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง เพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สำหรับจังหวัดนั้นจะต้องดำเนินการตามระเบียบ,ข้อกฎหมาย โดยยึดมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม (สวล.)

นอกจากนั้นจะต้องจัดทำแผนในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยแผนงานดังกล่าวจะต้องนำไปบรรจุในแผนของจังหวัดด้วย ซึ่งแผนงานจะต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำแผน โดยหากแผนงานนอกเหนือหรือเกินกำลังของหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดก็สามารถประสานกับส่วนกลางได้ทันที

“จังหวัดระยองควรใช้โอกาสในการประกาศพื้นที่มาบตาพุด และพื้นที่บ้านฉางบางส่วน เป็นเขตควบคุมมลพิษ ดำเนินการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น โดยอย่าไปวิตกกังวลจากการประกาศในครั้งนี้ว่าจะมีปัญหาหรือผลกระทบในการที่เสียหายเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมามีการประกาศไปแล้ว 12 จังหวัด เช่น พัทยา จังหวัดชลบุรี ยังไม่มีปัญหาหรือผลกระทบอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นควรนำข้อมูล จากพื้นที่อื่นๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์" นายสยุมพร กล่าว

ด้านนายสมพงษ์ กล่าวว่า การจัดเสวนาในครั้งนี้เพื่อทำความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งความแตกแยกถึงข้อดี-ข้อเสียในการประกาศครั้งนี้ ดังนั้นจึงต้องให้นักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถมาตอบข้อซักถามประชาชน ที่มีข้อสงสัยให้เกิดความกระจ่างขึ้น เพราะที่ผ่านมาก็มีการรวมตัวประท้วง ทั้งที่ให้การสนับสนุนในการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ และกลุ่มที่คัดค้านห้ามประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งสร้างความสับสนต่อประชาชนที่พบเห็น

สำหรับในส่วนของเทศบาลฯ จะต้องปฏิบัติตาม แผนงานในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมตามคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งจะต้องจัดทำแผนงาน, ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยจะต้องเร่งรวบรวมข้อมูล, การจัดแยกประเภทของกลุ่มโรงงาน, วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นมาจากแหล่งไหน-จุดใด ซึ่งจะต้องเร่งรวบรวมข้อมูลต่างๆให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน หลังประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ

ด้านนายสุนทร ปรัญจิตต์ รองประธานชุมชนบ้านพลง สุขุมวิท 23 กล่าวถึง การจัดเสวนาในครั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนและชุมชน ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถ เพราะที่ผ่านมา ประชาชนในพื้นที่ มีการแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่าย เนื่องจากไม่เข้าใจในการดำเนินการครั้งนี้ ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้กับชาวบ้าน จึงต้องให้นักวิชาการมาตอบข้อซักถาม เพื่อให้หายข้อข้องใจ

การประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษนั้น ในความคิดเห็นของตนถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและสามารถควบคุมปัญหามลพิษ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน แต่หากประกาศแล้วไม่มีการควบคุมก็ไม่ทราบว่าจะประกาศไปทำไม เพราะปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมานานหลาย 10 ปีแล้ว แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบและโรงงานอุตสาหกรรมมีการปล่อยปละละเลย ทำให้ปัญหาเกิดขึ้น และหากครั้งนี้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ปัญหาต่างๆ ก็อาจจะหมดไป และประชาชนก็จะอยู่กันอย่างมีความสุขด้วย

ด้าน ดร.วิจารย์ กล่าวถึงการประกาศเขตควบคุมมลพิษว่า เมื่อมีการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ใด จะต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรา 60 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ได้ประกาศ กำหนดให้เป็นเขตควบคุมมลพิษจัดทำแผนปฏิบัติการ เพื่อลด และขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อรวมไว้ในแผนปฏิบัติการ เพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัด โดยทุกๆหน่วยงานในพื้นที่ เช่น นายกเทศมนตรี ประธานสุขาภิบาล ชุมชน จะต้องร่วมมือในการจัดทำแผนงานอย่างเข้มงวด และหากไม่สามารถดำเนินการได้ก็สามารถประสานส่วนกลางได้ทันที