เชียงราย - ตร.ภาค 5 จับมือทุกภาคส่วนร่วมประกาศสงครามยาเสพติด เน้นบูรณาการร่วมไม่ให้กระทบสุจริตชน ผช.ผบ.ตร.ย้ำชัดไม่มีการตั้งเป้าเหมือนในอดีต เตรียมงัดหมายจับทุกคดีขึ้นมาจัดการเต็มที่ พร้อมประสานภาค 6 - ป.ป.ส.หาตัวผู้ต้องหาให้ได้ ด้าน ป.ป.ส.ยอมรับการค้ายาตามแนวชายแดนเปลี่ยน กลุ่มผู้ผลิตใช้เครื่องปั๊มเคลื่อนที่ ทำให้มียาบ้าทะลักเข้าตลาดเพิ่มไม่หยุด
วันนี้ (25 มี.ค.) พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปเป็นประธานในการเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดของตำรวจภูธรภาค 5 ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีนายตำรวจระดับสูงตั้งแต่ ผบก.และ ผกก.ทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ฝ่ายทหาร สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ฝ่ายปกครอง ฯลฯ เข้าร่วมรวมประมาณ 270 คน
พล.ต.ท.วุฒิ ได้บรรยายให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับฟังซึ่งส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการนำเอานโยบายของรัฐบาลซึ่งแถลงโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เกี่ยวกับมาตรการป้องกันปราบปรามยาเสพติดโดยใช้พลังจาก 7 กลุ่ม หรือเรียกว่า 5 รั้วบวก 2 โครงการ คือ โครงการรั้วชายแดน โครงการรั้วชุมชน โครงการรั้วสังคม โครงการรั้วโรงเรียน โครงการรั้วครอบครัว และโครงการปราบปรามยาเสพติดรายสำคัญและลดความเดือดร้อนของประชาชน โครงการบำบัดรักษาผู้เสพแบบบูรณาการ
พล.ต.ท.วุฒิ ได้ย้ำหลายครั้งว่าการดำเนินการทุกอย่างต้องเป็นไปแบบบูรณาการ คือ ร่วมมือกันทุกภาคส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ฝ่ายการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่สำคัญที่สุด คือ ภาคประชาชน สื่อมวลชน โดยตำรวจจะต้องเปิดใจรับการร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ
“ปัญหายาเสพติดไม่ใช่เป็นปัญหาขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นภัยคุกคามของทั้งประเทศ ตัวอย่างเช่น หากมียาบ้าเข้าสู่ประเทศไทยได้ 50 ล้านเม็ด เฉลี่ยค่าซื้อเม็ดละ 100 บาท ประเทศก็จะสูญเสียเม็ดเงินไปกับขบวนการนี้มากถึง 5,000 ล้านบาท คนร่ำรวยคือคนค้าอยู่ไม่กี่คน นับเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวงซึ่งยังไม่รวมด้านสังคมและความมั่นคงของประเทศด้วย” พล.ต.ท.วุฒิ กล่าว และว่า
การปฏิบัติตาม 5 รั้ว 2 โครงการดังกล่าวจะต้องดำเนินไปพร้อมๆ กัน ไม่ได้เรียงลำดับก่อนหลัง แต่จะเน้นให้เป็นไปตามกฎหมาย ใช้หลักนิติธรรม คำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน การปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดก็จะเน้นให้ตรงตัวเพื่อไม่ให้กระทบกับสุจริตชน
พล.ต.ท.วุฒิ กล่าวอีกว่า จะมีการนำหมายจับของตำรวจภูธรภาค 5 ออกมาดำเนินการอย่างเข้มงวดตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่รัฐบาลได้ประกาศ และจะนำเอาหมายจับของภาค 5 ไปแลกเปลี่ยนหรือแชร์กันกับตำรวจภูธรภาค 6 รวมทั้ง ปปส.เพื่อให้การตรวจจับตามหมายจับเป็นไปอย่างเข้มงวดด้วย
แต่เรื่องของสถิติตัวเลขผู้ที่อยู่ในบัญชีก็คงจะไม่กำหนดตายตัวจากเบื้องบนลงไปว่าจะต้องปราบปรามให้ได้ตัวเลขเท่าไหร่จึงจะผ่านเกณฑ์ แต่จะเน้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป้าหมายก็จะมีการแจ้งลงไปเป็นระยะๆ และให้ตำรวจภูธรภาค 5 และภาค 6 ได้ระดมสมองคิดกันว่าควรจะเป็นอย่างไร ภายใต้การคัดกรองเป้าหมายที่ละเอียดไม่ใช่ไปกระทำกับสุจริตชน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางตำรวจจะมีการกำหนดสถิติตัวเลขผู้มีพฤติกรรมและปราบปรามให้ได้ตัวเลขตามเกณฑ์เหมือนในอดีตหรือไม่ ทาง พล.ต.ท.วุฒิ กล่าวว่า ทุกหมายจับ ทุกคดีก็จะเดินหน้าไปตามมาตรการดังกล่าว เพราะถ้ามีการกำหนดลงมาจากเบื้องบนแล้วก็จะทำให้ผู้ที่อยู่ข้างล่างเดือดร้อน ขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ระบุว่าการปราบปรามยาเสพติดครั้งนี้จะต้องไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่หากกำหนดเร่งรัดก็จะกลายเป็นว่าปราบปรามไปแล้วผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกลับจะเดือดร้อนตามมาอีก แต่เชื่อว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนนี้การปราบปรามจะประสบความสำเร็จ
ด้าน นายชาติชาย สุทธิกลม ที่ปรึกษาด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ป.ป.ส.กล่าวว่าสถานการณ์ยาเสพติดตามแนวชายแดนเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะประเทศเพื่อนบ้านมีการปราบปรามมากขึ้น แต่กลุ่มขบวนการก็มีเครื่องผลิตยาเสพติดเคลื่อนที่ทำให้ปริมาณการทะลักเข้ามาของยาเสพติดยังมีมากขึ้นซึ่งไม่ชัดเจนว่ามาจากการที่มีศักยภาพในการผลิตมากขึ้นหรือเกิดจากการเร่งระบายยาเสพติดก่อนจะถูกปราบปราม อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ชนกลุ่มน้อยที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดถูกเข้มงวดมากขึ้น
ขณะที่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.ภาค 5 กล่าวว่า ได้จัดเตรียมกำลังพล ปรับปรุงและพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ เช่น เครื่องสแกน ฯลฯ เอาไว้พร้อมสรรพและพร้อมจะดำเนินการตามนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดในระยะเวลา 6 เดือนนับจากนี้แล้ว เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
