บุรีรัมย์ – วัยรุ่นชายบุรีรัมย์ออกมายอมรับใช้ยาฉีดอวัยวะเพศเพิ่มขนาดเกิดเน่าเปื่อยต้องเข้ารพ.ผ่าตัด เผยทุกทรมานระหว่างการรักษานานกว่า 5 เดือน พ่อแม่ต้องขายข้าวในยุ้งมารักษารายละ 2-3 หมื่นบาท ชี้ทุกคนต่างทราบกันดีต้องเผชิญกับปัญหาแต่ยังหาซื้อยาราคาถูกมาฉีดเองเพราะต้องการมีอวัยวะเพศใหญ่กว่าเดิม เตือนเพื่อนวัยรุ่นอย่าหลงเชื่อว่าอวัยวะเพศใหญ่จะสมหวัง ด้านแพทย์ระบุวัยรุ่นบุรีรัมย์เข้าใจผิดแห่ฉีดยาเพิ่มขนาดจ้าวโลก เข้ารักษา รพ.ปีละ 500-600 ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดบุรีรัมย์ว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลุ่มวัยรุ่นชายมักหาวิธีทำให้อวัยวะเพศของตัวเองใหญ่หรือยาวขึ้น ตามความเข้าใจว่าจะทำให้สมชายชาตรีและมีความมั่นใจว่าเพศหญิงจะพอใจระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ทำให้มีกลุ่มพ่อค้านำผลิตภัณฑ์หลายชนิดมาจำหน่ายอย่างผิดกฎหมาย เช่น การใช้น้ำมันสำหรับนวดให้อวัยวะขยายตัว
ในระยะหลังวัยรุ่นชายหันมาใช้วิธีฉีดยาเข้าไปในอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลชัดเจนและรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นยาที่หาซื้อได้ง่ายในราคาถูก ทำให้บรรดากลุ่มวัยรุ่นหันมาใช้ยาวิธีฉีดกันมากขึ้น ซึ่งต่อมาผู้ที่ใช้ยาฉีดอวัยวะเพศเองมีอาการอักเสบ เน่าเปื่อยและต้องเข้าไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลโดยการผ่าตัดกันเป็นจำนวนมาก แต่ค่านิยมของวัยรุ่นยังไม่หยุดนิ่งยังคิดค้นหาวิธีนำยาชนิดยาที่สามารถอยู่ในอวัยวะเพศได้นานขึ้น ทั้งที่รู้ตัวดีว่าอาจเกิดอาการอักเสบ ถึงขั้นต้องผ่าตัดรักษา
นายปรีชา (นามสมมติ) อายุ 20 ปี อยู่ ต.ละเวี้ย อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาเปิดเผยหลังเข้ารักษาด้วยการผ่าตัดอวัยวะเพศที่กำลังเน่าเปื่อยที่โรงพยาบาลศูนย์จังหวัดบุรีรัมย์ว่า เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาได้ร่วมกับเพื่อน 3 คนซื้อยา “คอแลม” ชนิดน้ำขนาด 10 ซีซี จำนวน 6 หลอด ราคาหลอดละ 15 บาท จากร้านขายยา จากนั้นได้ใช้กระบอกฉีดยาฉีดเข้าใต้ผิวหนังอวัยวะเพศ คนละ 2 หลอด หลังการฉีดต้องปั่นให้ตัวยากระจายทั่วใต้ผิวหนังอวัยวะเพศ จากนั้นอวัยวะเพศจะบวมประมาณ 1 สัปดาห์ และกลับมาเป็นสภาพปกติและอวัยวะเพศจะใหญ่ขึ้นประมาณ 1 เท่าตัวจากของเดิม ส่วนความยาวยังเท่าเดิม
นายปรีชา เล่าต่อว่า หลังจากนั้นตนมีความภูมิใจมากว่ามีอวัยวะเพศที่ใหญ่ขึ้น เวลามีเพศสัมพันธ์ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์ทางเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมามากแล้วจะมีความพึงพอใจ แต่ผู้หญิงบางคนไม่ยอมรับ โดยเพื่อนที่ร่วมฉีดยาคอแลมต่างมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
ต่อมาเวลาผ่านไปได้ 2 ปีเพื่อนทั้ง 2 คนได้เข้าทำการรักษาด้วยการผ่าตัดจากอาการเน่าของอวัยวะเพศ ซึ่งตนได้ระมัดระวังรักษาความสะอาดมาโดยตลอด แต่อวัยวะเพศก็ได้อักเสบและบวมขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงไปพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด ซึ่งวิธีการรักษาแพทย์ได้ลอกหนังอวัยวะเพศที่เน่าออกให้หมด ใช้เครื่องมือแพทย์ดูดเอาสิ่งแปลกปลอมออก โดยใช้หนังอัณฑะเย็บหุ้มอวัยวะเพศเพื่อสร้างเนื้อเยื่อ ใช้เวลานานประมาณ 3 เดือน จะต้องกลับไปผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเอาหนังอัณฑะออกแล้วรักษาต่ออีกไม่น้อยกว่า 2 เดือน
นายปรีชา กล่าวต่อว่า จึงอยากเตือนเพื่อนวัยรุ่นชายที่คิดจะฉีดยาเข้าไปอวัยวะเพศว่าอย่าเสี่ยง เพราะไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้มา จะต้องทนทุกทรมานในระหว่างการรักษานานถึงกว่า 5 เดือน และยังไม่ทราบว่าจะใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ และขนาดอวัยวะเพศต้องกลับมามีขนาดเท่าเดิมตามธรรมชาติ
ทั้งนี้ กลุ่มวัยรุ่นชายที่ฉีดยาคอแลมเข้าไปในอวัยวะเพศทุกคนต่างทราบกันดีว่า จะต้องไปเผชิญกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นแต่ยังมีความพยายามจะทำเพราะต้องการมีอวัยวะเพศให้ใหญ่กว่าเดิมเท่านั้น ส่วนผลสะท้อนกลับมาสร้างความวุ่นวายให้กับครอบครัว โดยทางโรงพยาบาลไม่รับเข้าเป็นคนไข้ปกติถือว่าเป็นการศัลยกรรม ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษา 20,000-30,000 บาท และยอมรับว่าสงสารครอบครัวมากเพราะต้องขายข้าวในยุ้งมาทำการรักษาซึ่งเกิดจากความคึกคะนองเท่านั้น และยังแสดงความเป็นห่วงรุ่นน้องในหมู่บ้านอีกเป็นจำนวนมากที่ฉีดยาเข้าไปแล้ว
นพ.ไพโรจน์ จึงอนุวัตร นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ สาขาศัลยกรรมระบบปัสสาวะ โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า บุคคลที่เข้าใจผิดต้องการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศโดยนวดด้วยน้ำมันมะกอก ฉีดอวัยวะเพศด้วยยาคอแลม เพนนิซิลิน หรือซิลิโคนนั้น ยาจำพวกนี้เป็นสารแปลกปลอมต่อร่างกาย ฉีดเข้าไปจะทำให้เกิดปฏิกิริยาจากการติดเชื้อ เน่า เปื่อย หรือการฉีดโดยใช้เข็มร่วมกัน อาจติดเชื้อโรค เช่น โรคเอดส์ ได้
สำหรับการรักษาส่วนใหญ่ จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อบริเวณที่ติดเชื้อหรือมีสิ่งแปลกปลอมออก ถ้าหากฉีดเข้าไปมีอาการเน่าเปื่อยมากก็ต้องผ่าตัดหลายครั้ง ซึ่งในแต่ปีได้มีกลุ่มวัยรุ่นที่เข้าใจผิดต้องการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศโดยการฉีดยาจำพวกดังกล่าว เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลปีละ 500-600 ราย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีกลุ่มวัยรุ่น เข้ามารักษาแล้วกว่า 100 ราย
“จึงขอเตือนกลุ่มวัยรุ่นที่คิดจะเพิ่มขนาดอวัยวะเพศโดยฝืนธรรมชาติ อย่าได้ริลองหรือฉีดยาเข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยเด็ดขาด” นพ.ไพโรจน์ กล่าว
