ตราด - ม.ราชภัฏรำไพพรรณี ร่วมกลุ่มสหกรณ์ตราดทำโครงการผลิตพลังงานทดแทน, ไบโอดีเซล ด้านปธ.สหกรณ์พร้อมนำมูลสุกรและน้ำมันปาล์มผลิต มั่นใจสามารถทำเชิงปฏิบัติได้
ผู้สื่อขาวประจำจังหวัดตราดรายงานว่า ที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกร จ.ตราด นายชลอ ใบเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาความเป็นไปได้ การจัดการพลังงานทางเลือกที่เหมาะสมของชุมชน และโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็กเพื่อผลิตไบโอดีเซลในพื้นที่จังหวัดตราด ที่ ผศ.พอพันธ์ สุทธิวัฒนะ คณบดีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและอัญมณีศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จ.จันทบุรี ร่วมกับสหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกร จ.ตราด มีนายจรินทร์ ภูษณภิบาลคุปต์ ประธานสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ โดยมีกลุ่มเกษตรกรและผู้ปลูกปาล์มน้ำมันร่วมประชุมกว่า 60 คน
ผศ.พอพันธ์ กล่าวว่า การดำเนินโครงการนี้ทางมหาวิทยาลัยได้รับงบประมาณจาก สสส.เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการพลังงานทางเลือกที่เหมาะสมของชุมชน และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ให้ดำเนินการโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก เพื่อผลิตไบโอดีเซลในพื้นที่ จ.ตราด ซึ่งการประชุมวันนี้จะมาให้ข้อมูลกับผู้เข้าร่วมโครงการถึงแนวปฏิบัติและขอรับข้อมูลจากเกษตรกรผู้เข่าร่วมโครงการ ซึ่งการดำเนินการจะให้เกษตรกรได้เลือกว่าจะดำเนินการโครงการใด อาทิ มูลสุกรสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นก๊าซชีวมวล และนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าและพลังงานทางเลือกให้เกษตรกรได้
ขณะที่ปาล์มน้ำมันก็สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้ หรือน้ำตกก็นำมาผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ก็นำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้เช่นกัน รวมทั้งเศษไม้ก็นำมาทำเป็นถ่านไม้ได้ ซึ่งชุมชนใดจะเหมาะสมกับพลังงานทางเลือกไหนก็สามารถนำมาปฏิบัติได้ตามความเหมาะสมของชุมชน ซึ่งการประชุมครั้งนี้เกษตรกรจะได้รับความรู้จากการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ เพื่อมาประยุกต์ใช้กับชุมชนอย่างเกิดประโยชน์
ขณะที่นายจรินทร์ กล่าวว่า วัตถุดิบที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทนใน จ.ตราด มีจำนวนมาก เช่น มูลสุกร พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่า 50,000 ไร่ สามารถนำผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ หรือน้ำมันไบโอดีเซลได้ และมั่นใจว่าจะสามารถนำความรู้ที่ได้วันนี้ไปใช้ในการผลิตก๊าซชีวิมล และนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะนำมาใช้ในฟาร์มสุกรหรือนากุ้งได้ ขณะที่ปาล์มน้ำมันจะสามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้ส่วนจะใช้วิธีไหนต้องอยู่ที่ความพร้อมของชุมชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ แต่จะเป็นประโยชน์กับผู้เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างมากในช่วงน้ำมันมีราคาแพง
ผู้สื่อขาวประจำจังหวัดตราดรายงานว่า ที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกร จ.ตราด นายชลอ ใบเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาความเป็นไปได้ การจัดการพลังงานทางเลือกที่เหมาะสมของชุมชน และโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็กเพื่อผลิตไบโอดีเซลในพื้นที่จังหวัดตราด ที่ ผศ.พอพันธ์ สุทธิวัฒนะ คณบดีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและอัญมณีศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จ.จันทบุรี ร่วมกับสหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกร จ.ตราด มีนายจรินทร์ ภูษณภิบาลคุปต์ ประธานสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ โดยมีกลุ่มเกษตรกรและผู้ปลูกปาล์มน้ำมันร่วมประชุมกว่า 60 คน
ผศ.พอพันธ์ กล่าวว่า การดำเนินโครงการนี้ทางมหาวิทยาลัยได้รับงบประมาณจาก สสส.เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการพลังงานทางเลือกที่เหมาะสมของชุมชน และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ให้ดำเนินการโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก เพื่อผลิตไบโอดีเซลในพื้นที่ จ.ตราด ซึ่งการประชุมวันนี้จะมาให้ข้อมูลกับผู้เข้าร่วมโครงการถึงแนวปฏิบัติและขอรับข้อมูลจากเกษตรกรผู้เข่าร่วมโครงการ ซึ่งการดำเนินการจะให้เกษตรกรได้เลือกว่าจะดำเนินการโครงการใด อาทิ มูลสุกรสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นก๊าซชีวมวล และนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าและพลังงานทางเลือกให้เกษตรกรได้
ขณะที่ปาล์มน้ำมันก็สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้ หรือน้ำตกก็นำมาผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ก็นำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้เช่นกัน รวมทั้งเศษไม้ก็นำมาทำเป็นถ่านไม้ได้ ซึ่งชุมชนใดจะเหมาะสมกับพลังงานทางเลือกไหนก็สามารถนำมาปฏิบัติได้ตามความเหมาะสมของชุมชน ซึ่งการประชุมครั้งนี้เกษตรกรจะได้รับความรู้จากการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ เพื่อมาประยุกต์ใช้กับชุมชนอย่างเกิดประโยชน์
ขณะที่นายจรินทร์ กล่าวว่า วัตถุดิบที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทนใน จ.ตราด มีจำนวนมาก เช่น มูลสุกร พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่า 50,000 ไร่ สามารถนำผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ หรือน้ำมันไบโอดีเซลได้ และมั่นใจว่าจะสามารถนำความรู้ที่ได้วันนี้ไปใช้ในการผลิตก๊าซชีวิมล และนำมาแปลงเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะนำมาใช้ในฟาร์มสุกรหรือนากุ้งได้ ขณะที่ปาล์มน้ำมันจะสามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้ส่วนจะใช้วิธีไหนต้องอยู่ที่ความพร้อมของชุมชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ แต่จะเป็นประโยชน์กับผู้เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างมากในช่วงน้ำมันมีราคาแพง
