ศูนย์ข่าวศรีราชา- วิกฤตแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังสัตหีบ หาดบางเสร่ อดีตอ่าวสลัดน้ำดินแดนโจรสลัด คลื่นซัด น้ำเซาะ พังยับเยินถึงริมถนนยาว 1,500 เมตร ต้องกั้นเสริมทราย ขณะที่ทั่วหาดบางเสร่ สัตหีบพบป้ายเตือนภัย “ระวังอันตรายทรายยุบตัว” สร้างความหวาดผวาให้นักท่องเที่ยวอย่างหนัก
วันนี้ (14 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า เทศบาลตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้ให้เจ้าหน้าที่นำป้ายเตือนภัย พ่นตัวอีกษรภาษาไทยมาตรฐานด้วยสีแดงมีข้อความว่า “ระวังอันตรายทรายยุบตัว” ทำให้นักท่องเที่ยวภายในท้องถิ่น และใกล้เคียงไม่กล้าลงไปเดินเล่นบนหาดทราย เพราะเกรงว่าทรายจะยุบตัวลงไป เนื่องจากเทศบาลได้นำทรายมาถมทดแทนทรายเดิมไว้ ชายล่างทะเลใช้ก้อนหินเรียงกั้นกรุด้วยผ้าพลาสติกป้องกันไม่ให้เม็ดทรายไหลลงสู่ทะเล บางช่วงถูกน้ำทะเลซัดเซาะจนทรายด้านล่างไหลลงสู่ทะเล อาจทำให้ด้านล่างเป็นโพง ถ้าพลาดท่าทรายยุบตัว จะทำให้นักท่องเที่ยวกระแทกกับก้อนหินได้รับบาดเจ็บ ขา แขนอาจหักได้
หลังได้รับทราบข้อมูลผู้สื่อข่าว จึงได้รุดไปตรวจสอบยังชายหาดบางเสร่ ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ แทบไม่พบนักท่องเที่ยวมานั่งพักผ่อน ดื่มสุรา รับประทานอาหารทะเลซีฟู๊ดเหมือนในอดีต ชายหาดว่างเปล่า คลื่นทะเลกระทบฝั่งไม่รุนแรงมาก พบป้ายไม้อัดสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาว พ่นด้วยตัวหนังสือสีแดง ว่า ระวังอันตรายทรายยุบตัว ปักอยู่บนผิวทรายหันหน้าเข้าริมถนนริมชายหาด เรียงรายเป็นระยะๆ หลายป้าย ทราบว่าเป็นป้ายที่จัดทำโดยเทศบาลตำบลบางเสร่ จัดทำขึ้น เพื่อเตือนภัยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเล่นน้ำทะเลชายหาดบางเสร่แห่งนี้ เพราะทราบดีอยู่แล้วว่า น้ำได้ซัดเซาะเม็ดทรายไหลลงสู่ทะเล จนชายหาดเสียทัศนียภาพที่สวยงามไปจนเกือบหมด ต้องก่อกำแพงปูนกั้นทราบ ส่วนชั้นนอกได้ใช้ก้อนหินกั้นคลื่นที่เข้ามากระทบ เพราะชายหาดธรรมชาติที่มีความยาวถึง 1,500 เมตร ได้พังพินาศยับเยินไปจนเกือบหมด
จากการสอบถามข้อมูลไปยังเทศบาลตำบลบางเสร่ ทราบว่าปัญหาดังกล่าว นายปิ่นโสม นิ่มสุวรรณ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเสร่ กำลังระดมเจ้าหน้าที่ศึกษาหาแนวทางแก้ไข และค้นหาที่มาของปัญหาที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้กับชาวบางเสร่อย่างมาก ต้องสูญเสียแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปอย่างน่าเสียดาย
เบื้องต้นพบปัญหามาจากการก่อสร้างเขื่อนหินกันคลื่นยาวออกมาในทะเล ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทาง พุ่งตรงเข้ามาแทงชายหาดบางเสร่ จนทำให้หาดทรายถูกซัดเซาะจากน้ำทะเลพังยับเยินยากต่อการเยียวยาและแก้ไข
อีกประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบ ก็คือ ภาวะโลกร้อนที่ทำให้พืชนานาชนิดตายลง ทำให้สิ่งกีดขวางทางธรรมชาติที่มีความสมดุลหายไป ทำให้กระแสน้ำ กระแสคลื่นรุ่นแรงกว่าเดิม ทำให้ชายหาดทรายพังทลายลงทะเลไปอย่างน่าใจหาย เพราะบางเสร่มีชายหาดแห่งนี้ที่เป็นหน้าเป็นตา แหล่งหารายได้ค้าขายของประชาชนในท้องถิ่นเพียงแห่งเดียว ถ้าหาดแห่งนี้ต้องปิดฉากลงก็จะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างแน่นอน
ด้าน นางสุกัญญา พุฒหอม อายุ 31 ปี ได้พาบุตรสาวชื่อ เด็กหญิง ปิยะมาศ พุฒหอมหรือน้ององุ่น อายุ 3 ขวบ นักเรียนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สมาคมภริยาทหารเรือ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน สัตหีบ มาเที่ยวชายหาดบางเสร่ กล่าวว่า จะพาลูกสาวมาเที่ยวพักผ่อนชายหาด และเล่นน้ำทะเลที่บางเสร่บ่อยครั้ง แต่วันนี้ลูกสาวอยากเล่นน้ำ ก็ไม่กล้าพาลงเล่นเหมือนก่อน หมดความปลอดภัย เพราะชายหาดที่เป็นธรรมชาติได้เหือดหายไปจนหมด ถ้าปล่อยให้ลูกเล่นน้ำถ้าเจอคลื่นซัดพาไปกระแทกกับก้อนหินอาจได้รับอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งยังมีป้ายเตือนให้ระวังเรื่องของทรายยุบตัวอีก ยอมรับว่า เสียใจที่ชายหาดธรรมชาติที่สวยงามต้องพังไปจนหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ บางเสร่ เป็นตำบลที่ตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2523 เดิมนั้นเป็นหมู่บ้านที่ขึ้นกับ ตำบลนาจอมเทียน เมื่อหมู่บ้านขยายตัวเพิ่มมากขึ้น นายประสม ศรีสำอางค์ ในขณะนั้นก็ได้ขอแยกหมู่บ้านบางเสร่ออกมาจากตำบลนาจอมเทียนตั้งชื่อว่า “ตำบลบางเสร่” โดยมี นายใหญ่ อินอนงค์ เป็นกำนันปกครองตำบลบางเสร่เป็นคนแรก
ประวัติของบางเสร่เดิมมีชื่อเรียกกันว่าสำเหร่ เมื่อสมัยก่อนยังไม่มีหมู่บ้านพวก บรรดาโจรสลัดหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า สลัดน้ำ จะอาศัยบริเวณนี้คอยดักปล้นเรือที่เดินทางผ่านมาเมื่อปล้นได้ก็จะนำเรือเข้าฝั่งสำเหร่ ฆ่าคนยึดทรัพย์สมบัติและเผาเรือทิ้ง และบางครั้งเมื่อปล้นเอาทรัพย์สินแล้วก็จะปล่อยคนทิ้งไว้พวกที่ถูกปล่อยตัวอยู่ที่นี่
ต่อมาก็ได้ตั้งรกรากตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สำเหร่แห่งนี้เอง ครั้งหนึ่ง พระยาจันทบูรเดิมอยู่ที่เกาะเสม็ดตำบลบ้านเพจังหวัดระยองมีภรรยาและบุตร พร้อมด้วยบริวารมากมาย ครั้นเมื่อพระยาจันทบูรตายลงพวกบริวารอันมีนายเรืองนายจันทร์ ได้พาบุตรและภรรยาพร้อมด้วยบริวารของพระยาจันบูร เดินทางออกจากเกาะเสม็ด โดยเดินทางมาทางเรือประมาณ 5-6 ลำ แล่นมาถึงอ่าวบางสำเหร่ เห็นว่าที่นี่มีทำเลดีเพราะมีแผ่นดินที่ติดต่อกับชายทะเลและมีทรัพยากรมากมาย ที่สำคัญคือมี ต้นยางใต้ มากพอที่จะเจาะเอาน้ำยางใต้เป็นอาชีพได้ จึงได้เข้ามาปลูกที่พักอาศัยนับตั้งแต่นั้นมา จนต่อมาผู้คนของบางสำเหร่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับมีผู้คนเริ่มอพยพเข้ามาตั้งรกรากมากขึ้น