คนแก่บุรีรัมย์รวมกลุ่มตระเวนรับจ้างเกี่ยวข้าว-ดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้องฝ่าวิกฤต ศก.

บุรีรัมย์- เผยคนแก่ 3 หมู่บ้าน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ บุตรหลานไปขายแรงยังต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ส่งเงินมาจุนเจือครอบครัวน้อยลงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายได้รวมกลุ่มกันออกตระเวนรับจ้างเกี่ยวข้าวแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อหารายได้เลี้ยงปากท้องฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ

วันนี้ (29 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้สูงอายุ 3 หมู่บ้าน ประกอบด้วย บ้านหนองไผ่ ห้วยลึก และ บ.ดอนมน ต.ดอนมน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ที่ลูกหลานไปขายแรงงานยังต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ทิ้งให้เลี้ยงดูบุตรหลานที่บ้าน ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ บุตรหลานส่งเงินกลับมาไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย บางรายแทบไม่ส่งมากลับให้เลย เพราะต่างก็รับภาระค่าเช่าบ้าน และค่าใช้จ่ายประจำวันสูงขึ้น

จึงได้รวมกลุ่มกันร่วม 30 คน ออกตระเวนรับจ้างเกี่ยวข้าวแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน แข่งขันกับรถจักรเกี่ยวข้าวซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีรายได้วันละ 150 บาท จากเมื่อก่อนอยู่บ้านเลี้ยงหลานรอเพียงเงินจากลูกที่ส่งมาให้เป็นค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่มาวานนี้ถึงแม้จะอายุมากเรี่ยวแรงน้อยแต่ก็ไม่ย่อท้อหากมีเจ้าของนาว่าจ้างให้ไปเกี่ยวข้าว ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ก็จะรวมตัวกันไปรับจ้างหารายได้เสริมเลี้ยงปากท้องตัวเอง เพื่อผ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังประสบอยู่ให้รอดพ้นไปได้

นายบุญยง เปกรัมย์ อายุ 51 ปี ชาวบ้าน บ.ดอนมน ต.ดอนมน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ หนึ่งในกลุ่มที่ตระเวนรับจ้างเกี่ยวข้าว บอกว่า ตนมีลูกชายคนเดียวไปทำงานต่างจังหวัด หลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต้องรับภาระค่าครองชีพสูงขึ้น ประกอบกับมีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบทำให้ไม่สามารถส่งเงินมาจุนเจือทางบ้านได้เหมือนแต่ก่อน ตนทำนาอยู่ 5 ไร่ถูกนำท่วมเสียหายกว่าครึ่ง จึงต้องออกรับจ้างเกี่ยวข้าวเป็นรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ

ขณะที่ นางเที่ยง แคนรัมย์ อายุ 52 ปี ชาวบ้าน บ.ดอนมน อีกคนที่ตระเวนรับจ้างเกี่ยวข้าวเช่นกัน บอกว่า ปกติจะทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแต่หลังจากประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ รายได้ของสามีและลูกๆ ที่ไปทำงานต่างจังหวัด ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย จึงได้ออกมาตระเวนรับจ้างเกี่ยวข้าวเพื่อหารายได้เสริมเลี้ยงปากท้องและครอบครัว และหลังจากหมดฤดูเกี่ยวข้าวก็จะรับจ้างตัดอ้อยต่ออีก

ทางด้าน นางละม่อม ศรีงาม อายุ 50 ปี เจ้าของนา กล่าวว่า สาเหตุที่จ้างชาวบ้านมาเก็บเกี่ยวข้อง ก็เพื่อต้องการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีรายได้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ อีกงยังเป็นการอนุรักษ์การเกี่ยวข้าวแบบภูมิปัญญาดั้งเดิมแทนที่จะจ้างรถเกี่ยวข้าวที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า และจะทำให้ข้าวเสียหายมากกว่าจ้างแรงงานถึง 30% ซึ่งก็หวังว่าในปีนี้ราคาข้าวจะสูงเหมือนกับปีที่ผ่านมา เพื่อให้ชาวนาสามารถอยู่รอดได้ไม่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างเช่นที่ผ่านๆ มา