มหาสารคาม - มมส.เปิดโต๊ะเสวนาวิกฤตการเมืองไทย 2551 ทางเลือกทางรอด? โดยมีนักวิชาการ อาจารย์ นิสิตจากหลายสถาบันเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น นักวิชาการชี้ทางออกเดียว คือ ให้ศาล องค์กรอิสระเร่งสะสางคดีต่างๆ ให้ออกมาเป็นรูปธรรม แนะ “กลุ่มไม่รับเจ้า” เปลี่ยนความคิด เพราะสังคมไทยรับไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมชั้น 4 ตึก D มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้จัดให้มีการเสวนาทางการเมืองในหัวข้อ วิกฤตการเมืองไทย 2551 ทางเลือกทางรอด? โดยมีนักวิชาการ อาจารย์ นิสิต นักศึกษาจากหลายสถาบันเข้าร่วมฟังการเสวนา โดยหัวข้อการเสวนาได้พูดถึงความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ ในการเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 400 ราย
รวมทั้งความเคลื่อนไหวในการทำกิจกรรมทางการเมืองของนิสิตในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งถูกมองว่ามีอาจารย์ที่อยู่ฝ่ายข้างพันธมิตรฯ อยู่เบื้องหลัง โดยนิสิตขอยืนยันว่าเป็นกลางในการเคลื่อนไหว ที่ออกมาทำกิจกรรมในเรื่องต่างๆ เป็นเพราะว่าการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ไม่ได้เลือกข้างหรืออยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่ที่คุณธรรม จริยธรรมของนักการเมืองไม่มี
ดังตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีฯ ยังไม่มีอำนาจเต็มในการสั่งการ แต่ก็เกิดความรุนแรงขึ้น สื่อบางสื่อปิดหูปิดตาประชาชน ทำให้ประชาชนไม่รับข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง
ด้าน รศ.ดร.สุทธิพงศ์ หกสุวรรณ ประธานสมาพันธ์นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงทางรอดของการเมืองไทยในขณะนี้ว่า ทางรอดของสังคมไทยตอนนี้ไม่มีแล้วในเรื่องของการเจรจา ตอนนี้ทางรอดทางเดียวก็คือ ศาล องค์กรอิสระต่างๆ ที่รับเรื่อง รับคดีต่างๆ ต้องเร่งรัดดำเนินการให้ผลออกมาเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะชี้นำให้ปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยผ่านพ้นไปด้วยดี
ในการเสวนาที่มีการพาดพิงเรื่องของกลุ่มที่ไม่รับเจ้า เห็นว่า ใครจะคิดอย่างไรนั้นคิดได้แต่แสดงออกไม่ได้ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เป็นแผ่นดินของพระเจ้าแผ่นดิน หากว่าจะไม่รับผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ การล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ในต่างประเทศนั้นมาจากการที่ตัวแทนของสถาบันนั้นๆ ไม่ได้ทำคุณงามความดี
ต่างกันลิบลับกับประเทศไทย สถาบันกษัตริย์นั้นมีคุณอนันต์ต่อประชาชน เพราะฉะนั้น ใครคิดอย่างนี้ขอให้เปลี่ยนความคิด เพราะสังคมไทยรับไม่ได้กับความคิดดังกล่าว