ศูนย์ข่าวศรีราชา- ผู้ประกอบการรถบรรทุกสิบล้อขนส่งสินค้าฝั่ง จ.สระแก้ว ลุกฮือประท้วงปิดล้อมหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศกว่า 50 คัน หลังประเทศกัมพูชาออกมามีคำสั่งให้ผู้ประกอบการที่ใช้รถขนส่งสินค้า ที่มีหนังสือเดินทางต้องมีวีซ่าผ่านเข้า-ออก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเคยมีมาตรการดังกล่าวแต่อย่างใด
“ผู้จัดการออนไลน์” รายงานว่า เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประกอบการรถบรรทุกสิบล้อขนส่งสินค้าเข้าออกชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่ง จ.สระแก้ว ประมาณ 50-60 คัน ได้รวมตัวกันจอดรถที่บริเวณหน้าสำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ ภายหลังจากทางฝั่งประเทศกัมพูชามีคำสั่งให้ผุ้ประกอบการขนส่งสินค้าดังกล่าว ที่มีหนังสือเดินทาง หากจำเป็นต้องเดินทางเข้าไปภายในอาณาเขตของประเทศกัมพูชา ต้องมีวีซ่าเดินทางเข้า-ออกด้วย
ด้าน นายเมธา ล้อเจริญวัฒนชัย ผู้ประกอบการธุรกิจผู้นำเข้าและส่งสินค้าอุปโภค-บริโภคชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาทางประเทศกัมพูชา ไม่เคยมีมาตรการดังกล่าวออกมา ทำให้การค้าชายแดนระหว่างสองประเทศเป็นไปด้วยดีและต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการออกกฎข้อบังคับเช่นนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจการค้าชายแดน เพราะสินค้าไม่สามารถเดินทางไปส่งถือมือลูกค้าหรือผู้บริโภคได้
การทำวีซ่าเดินทางผ่านเข้า-ออก ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 บาท ทำให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นภาระที่ผู้ประกอบการไม่อยากเผชิญและไม่อยากแบกรับ
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวหลายฝ่ายเชื่อแน่ว่า จะมาจากผู้บริหารประเทศกัมพูชาเป็นผู้ออกคำสั่งผ่านมายังทหารและด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งกัมพูชา จึงทำให้ผู้ประกอบการฝั่งไทยเดินทางข้ามไปส่งสินค้าไม่ได้ และพากันมารวมตัวอยู่หน้าสำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ ซึ่งล่าสุดได้มีการแยกย้ายการชุมนุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้ผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่งยังไม่ทราบว่าผลสรุปจะออกมาเป็นเช่นไร แต่หากประเทศกัมพูชาใช้มาตรการนี้แล้ว จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องธุรกิจการส่งออกและการค้าชายแดนในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง พ.ต.ท.จิรชาติ ร่มสายหยุด สารวัตรด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อสอบถามถึงที่มาและความคืบหน้าของเรื่องดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร แต่ทว่านายตำรวจคนดังกล่าวได้กล่าวตอบกลับมา ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในที่ประชุมยังไม่สะดวกจะให้ข้อมูล แต่จะได้โทรศัพท์กลับมาชี้แจงกับทางผู้สื่อข่าวอีกครั้ง ก่อนวางสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้หากเรื่องดังกล่าวมีความคืบหน้าอย่างไรทาง “ผู้จัดการออนไลน์” จะนำมารายงานความคืบหน้าอีกครั้ง
“ผู้จัดการออนไลน์” รายงานว่า เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประกอบการรถบรรทุกสิบล้อขนส่งสินค้าเข้าออกชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่ง จ.สระแก้ว ประมาณ 50-60 คัน ได้รวมตัวกันจอดรถที่บริเวณหน้าสำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ ภายหลังจากทางฝั่งประเทศกัมพูชามีคำสั่งให้ผุ้ประกอบการขนส่งสินค้าดังกล่าว ที่มีหนังสือเดินทาง หากจำเป็นต้องเดินทางเข้าไปภายในอาณาเขตของประเทศกัมพูชา ต้องมีวีซ่าเดินทางเข้า-ออกด้วย
ด้าน นายเมธา ล้อเจริญวัฒนชัย ผู้ประกอบการธุรกิจผู้นำเข้าและส่งสินค้าอุปโภค-บริโภคชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาทางประเทศกัมพูชา ไม่เคยมีมาตรการดังกล่าวออกมา ทำให้การค้าชายแดนระหว่างสองประเทศเป็นไปด้วยดีและต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการออกกฎข้อบังคับเช่นนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจการค้าชายแดน เพราะสินค้าไม่สามารถเดินทางไปส่งถือมือลูกค้าหรือผู้บริโภคได้
การทำวีซ่าเดินทางผ่านเข้า-ออก ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 บาท ทำให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นภาระที่ผู้ประกอบการไม่อยากเผชิญและไม่อยากแบกรับ
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวหลายฝ่ายเชื่อแน่ว่า จะมาจากผู้บริหารประเทศกัมพูชาเป็นผู้ออกคำสั่งผ่านมายังทหารและด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งกัมพูชา จึงทำให้ผู้ประกอบการฝั่งไทยเดินทางข้ามไปส่งสินค้าไม่ได้ และพากันมารวมตัวอยู่หน้าสำนักงานด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ ซึ่งล่าสุดได้มีการแยกย้ายการชุมนุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้ผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่งยังไม่ทราบว่าผลสรุปจะออกมาเป็นเช่นไร แต่หากประเทศกัมพูชาใช้มาตรการนี้แล้ว จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องธุรกิจการส่งออกและการค้าชายแดนในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง พ.ต.ท.จิรชาติ ร่มสายหยุด สารวัตรด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อสอบถามถึงที่มาและความคืบหน้าของเรื่องดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร แต่ทว่านายตำรวจคนดังกล่าวได้กล่าวตอบกลับมา ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในที่ประชุมยังไม่สะดวกจะให้ข้อมูล แต่จะได้โทรศัพท์กลับมาชี้แจงกับทางผู้สื่อข่าวอีกครั้ง ก่อนวางสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้หากเรื่องดังกล่าวมีความคืบหน้าอย่างไรทาง “ผู้จัดการออนไลน์” จะนำมารายงานความคืบหน้าอีกครั้ง