ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดรับฟังความคิดเห็นเกษตรกร 17 จังหวัดภาคเหนือต่อร่าง พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ “ประพัฒน์” เผยเตรียมเสนอร่างแรกเข้า ครม.เดือนหน้า พร้อมประกาศใช้ต้นปี 2552 ขณะที่นักวิชาการ มช.หนุน เชื่อเป็นกลไกสำคัญสร้างอำนาจให้เกษตรกรในการต่อรองกับรัฐและนายทุน แทนที่จะตกเป็นเบี้ยล่างเหมือนที่ผ่านมา ด้านเกษตรกรหวังได้ใช้เป็นเวทีเรียกร้องความต้องการและแก้ไขปัญหาแทนการตั้งม็อบกลางถนน
วันนี้ (15 ส.ค.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นของเกษตรกรต่อ “ร่างพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ...” โดยมีเกษตรกรในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประมาณ 500 คน เข้าร่วมที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อระดมความคิดเห็นของเกษตรกรแล้วรวบรวมเพื่อนำไปปรับปรุงร่างพระราชบัญยัติดังกล่าวนี้ให้มีความสมบูรณ์และตรงตามความต้องการของเกษตรกรมากที่สุด ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งเป้าจะนำร่างแรกของพระราชบัญญัตินี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และประกาศใช้ได้ในช่วงต้นปี 2552
สำหรับการมีสภาเกษตรกรแห่งชาตินั้น นายประพัฒน์ กล่าวว่า จะเป็นผลดีต่อเกษตรกรในการที่จะสร้างอำนาจต่อรองให้แก่เกษตรกรในการที่จะเรียกร้อง แสดงความคิดเห็นต่างๆ เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ต่างๆ ให้แก่เกษตรกร เหมือนกับที่ภาคเอกชนมีสภาอุตสาหกรรมหรือหอการค้า เป็นเครื่องมือในการต่อรองและเรียกร้องในประเด็นต่างๆ
ขณะที่ อาจารย์อรรถจักร สัตยานุรักษ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การผลักดันพระราชบัญบัญดังกล่าวนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการที่จะสร้างรากฐานที่ดีให้แก่เกษตรกรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงภายใน ทั้งนี้ การเกิดกลุ่มเกษตรกรหรือสภาเกษตรกรนั้น จะเป็นกลไกหนึ่งในการสร้างอำนาจให้แก่เกษตรกรในการที่จะต่อรองกับอำนาจรัฐหรืออำนาจทุน รวมทั้งมีอำนาจและโอกาสในการต่อสู้กับทุนขนาดใหญ่มากขึ้น ตลอดจนสามารถรวมพลังกันบีบบังคับให้รัฐสนับสนุนเกษตรกรมากกว่าที่ผ่านมา เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกษตรกรต้องถูกบีบให้กลายเป็นเพียงลูกจ้างราคาถูกที่ไม่มีปากเสียงเท่านั้น
ด้าน นายสมศักดิ์ โยอินชัย ตัวแทนเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เวลานี้มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่เกษตรกรจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดสภาเกษตรกรแห่งชาติให้ได้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้กับเกษตรกรในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่เกษตรกร ทั้งปัญหาการเพาะปลูกหรือปัญหาราคาพืชผล เป็นต้น
โดยที่เกษตรกรจะได้ใช้สภาเกษตรกรเป็นพื้นที่ของเกษตรกรโดยตรงในการที่จะได้พูดคุย แลกเปลี่ยน ถกเถียง บอกถึงความต้องการของตัวเอง เรียกร้องและถกเถียงถึงปัญหาต่างๆ ของเกษตรกร แทนที่จะใช้ท้องถนนหรือศาลากลางเป็นที่ยืนเพื่อเรียกร้องความต้องการต่างๆ เหมือนที่ผ่านมา
วันนี้ (15 ส.ค.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นของเกษตรกรต่อ “ร่างพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ...” โดยมีเกษตรกรในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประมาณ 500 คน เข้าร่วมที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อระดมความคิดเห็นของเกษตรกรแล้วรวบรวมเพื่อนำไปปรับปรุงร่างพระราชบัญยัติดังกล่าวนี้ให้มีความสมบูรณ์และตรงตามความต้องการของเกษตรกรมากที่สุด ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งเป้าจะนำร่างแรกของพระราชบัญญัตินี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และประกาศใช้ได้ในช่วงต้นปี 2552
สำหรับการมีสภาเกษตรกรแห่งชาตินั้น นายประพัฒน์ กล่าวว่า จะเป็นผลดีต่อเกษตรกรในการที่จะสร้างอำนาจต่อรองให้แก่เกษตรกรในการที่จะเรียกร้อง แสดงความคิดเห็นต่างๆ เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ต่างๆ ให้แก่เกษตรกร เหมือนกับที่ภาคเอกชนมีสภาอุตสาหกรรมหรือหอการค้า เป็นเครื่องมือในการต่อรองและเรียกร้องในประเด็นต่างๆ
ขณะที่ อาจารย์อรรถจักร สัตยานุรักษ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การผลักดันพระราชบัญบัญดังกล่าวนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการที่จะสร้างรากฐานที่ดีให้แก่เกษตรกรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงภายใน ทั้งนี้ การเกิดกลุ่มเกษตรกรหรือสภาเกษตรกรนั้น จะเป็นกลไกหนึ่งในการสร้างอำนาจให้แก่เกษตรกรในการที่จะต่อรองกับอำนาจรัฐหรืออำนาจทุน รวมทั้งมีอำนาจและโอกาสในการต่อสู้กับทุนขนาดใหญ่มากขึ้น ตลอดจนสามารถรวมพลังกันบีบบังคับให้รัฐสนับสนุนเกษตรกรมากกว่าที่ผ่านมา เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกษตรกรต้องถูกบีบให้กลายเป็นเพียงลูกจ้างราคาถูกที่ไม่มีปากเสียงเท่านั้น
ด้าน นายสมศักดิ์ โยอินชัย ตัวแทนเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เวลานี้มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่เกษตรกรจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดสภาเกษตรกรแห่งชาติให้ได้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้กับเกษตรกรในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่เกษตรกร ทั้งปัญหาการเพาะปลูกหรือปัญหาราคาพืชผล เป็นต้น
โดยที่เกษตรกรจะได้ใช้สภาเกษตรกรเป็นพื้นที่ของเกษตรกรโดยตรงในการที่จะได้พูดคุย แลกเปลี่ยน ถกเถียง บอกถึงความต้องการของตัวเอง เรียกร้องและถกเถียงถึงปัญหาต่างๆ ของเกษตรกร แทนที่จะใช้ท้องถนนหรือศาลากลางเป็นที่ยืนเพื่อเรียกร้องความต้องการต่างๆ เหมือนที่ผ่านมา
