ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ม.เที่ยงคืนเสนอ 3 ทางออกปัญหา"พระวิหาร"แนะรัฐเจรจาเขมรต้องโปร่งใส แก้ข้อครหามีเบื้องหลัง ให้องค์กรภายนอกเป็นตัวกลาง พร้อมให้ประชาสังคมร่วมตรวจสอบ ตำหนิกราวรูด ปชป.-พันธมิตร-รัฐบาลเป็นต้นเหตุ ยกกรณีม็อบถ่อยเชียงราย ผู้ว่าฯ - ผู้การ ตร.สมควรถูกย้าย
วันนี้ (21 ก.ค.) ที่จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำโดยนายสมเกียรติ ตั้งนะโม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล ร่วมกันแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เรื่องเขาพระวิหารกับความรุนแรงในสังคมไทยและความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
แถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาโดยสรุปว่า กรณีเขาพระวิหารได้นำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างกว้างขวางทั้งภายในสังคมไทยและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ไม่ยาก ซึ่งสาเหตุของการปะทุขึ้นของความขัดแย้งนี้มาจากปัญหาการเมืองภายในสังคมไทย ที่มีการใช้ประเด็นชาตินิยมมาปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังต่อรัฐบาลและคนไทยด้วยกัน โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงอาจไม่ใช้สังคมส่วนรวม แต่เป็นบางกลุ่มที่ฉวยใช้ความคิดชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้เรียกร้องให้สังคมไทยใช้สติปัญญาและความรู้ในการพิจารณาปัญหาดังกล่าวเพื่อลดความขัดแย้งภายในสังคมไทย และเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วยสันติวิธี ซึ่งจะช่วยนำทั้งสองประเทศกลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แทนการใช้ความรุนแรงภายใต้การปลุกเร้ากระแสชาตินิยมอย่างบ้าคลั่งจากบุคคลบางกลุ่ม ที่มีแต่จะทำให้ความขัดแย้งขยายตัวออกไปกว้างขวางและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
สำหรับทางออกในกรณีเฉพาะหน้า มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีข้อเสนอ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก รัฐบาลไทยควรเปิดเจรจากับกัมพูชาถึงปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นทางการด้วยกระบวนการ ขั้นตอนที่ดำเนินการอย่างโปร่งใสและเปิดให้สังคมไทยและกัมพูชาสามารถตรวจสอบและเข้าถึงการทำข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการกระทำทั้งหมดของรัฐบาลทั้งสองประเทศปราศจากเบื้องหลังหรือการแสวงหาประโยชน์ใดๆ ตามที่มีการกล่าวอ้างอยู่ในปัจจุบัน
ประการที่สอง จำเป็นต้องให้มีองค์กรภายจากนอก หรือกระบวนการที่เปิดให้ฝ่ายอื่นๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา ซึ่งบทบาทของอาเซียนหรือการตั้งอนุญาโตตุลาการน่าจะเป็นทางเลือกในการแก้ไขความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
ประการที่สาม นอกจากการดำเนินการในระดับรัฐบาลแล้ว ภาคประชาสังคมสามารถมีบทบาทอย่างสำคัญต่อการผลักดันและสนับสนุนให้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขด้วยความรู้และความยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาสังคมจากทั้งสองประเทศ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจต่อปัญหาที่กว้างขวางยิ่งขึ้น เช่น การจัดการพื้นที่ร่วมกันบนพื้นฐานของการคำนึงถึงเงื่อนไขทางสังคมและวัฒนธรรมมากกว่าผลประโยชน์แคบๆ ของรัฐที่ตั้งอยู่บนความหวาดระแวงระหว่างกัน
รศ.สมชาย แสดงความเห็นว่า การเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาในวันนี้ ไม่น่าจะช่วยทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้คลี่คลายลงแต่อย่างใด ตราบใดที่ยังเป็นเพียงการเจรจาบนโต๊ะที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งมองว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายลงไปได้ก็ต่อเมื่อมีการให้มีคนกลางร่วมในการเจรจาและสามารถตรวจสอบได้
ขณะเดียวกัน เห็นว่าความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหารที่เกิดขึ้นอยู่นี้ พรรคประชาธิปัตย์ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นผู้ปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมา
ขณะที่ นายอรรจักร สัตยานุรักษ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน แสดงความเห็นว่า สังคมไทยจะต้องหยุดการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา โดยยกตัวอย่างกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (19 ก.ค.) ว่า เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของกลไกรัฐในการจัดการปัญหา ซึ่งมองว่าตามปกติแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดควรจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือสมควรถูกย้าย
นอกจากนี้ นายอรรถจักรแสดงความเห็นด้วยว่า นายกรัฐมนตรียังไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเวลานี้ และคิดที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการใช้วิธีการตอบโต้เท่านั้น เช่น การจะออกโทรทัศน์ตอบโต้ เป็นต้น ซึ่งมีแต่จะก่อความขัดแย้งมากขึ้น
วันนี้ (21 ก.ค.) ที่จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำโดยนายสมเกียรติ ตั้งนะโม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล ร่วมกันแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เรื่องเขาพระวิหารกับความรุนแรงในสังคมไทยและความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
แถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาโดยสรุปว่า กรณีเขาพระวิหารได้นำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างกว้างขวางทั้งภายในสังคมไทยและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ไม่ยาก ซึ่งสาเหตุของการปะทุขึ้นของความขัดแย้งนี้มาจากปัญหาการเมืองภายในสังคมไทย ที่มีการใช้ประเด็นชาตินิยมมาปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังต่อรัฐบาลและคนไทยด้วยกัน โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงอาจไม่ใช้สังคมส่วนรวม แต่เป็นบางกลุ่มที่ฉวยใช้ความคิดชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้เรียกร้องให้สังคมไทยใช้สติปัญญาและความรู้ในการพิจารณาปัญหาดังกล่าวเพื่อลดความขัดแย้งภายในสังคมไทย และเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วยสันติวิธี ซึ่งจะช่วยนำทั้งสองประเทศกลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แทนการใช้ความรุนแรงภายใต้การปลุกเร้ากระแสชาตินิยมอย่างบ้าคลั่งจากบุคคลบางกลุ่ม ที่มีแต่จะทำให้ความขัดแย้งขยายตัวออกไปกว้างขวางและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
สำหรับทางออกในกรณีเฉพาะหน้า มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีข้อเสนอ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก รัฐบาลไทยควรเปิดเจรจากับกัมพูชาถึงปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นทางการด้วยกระบวนการ ขั้นตอนที่ดำเนินการอย่างโปร่งใสและเปิดให้สังคมไทยและกัมพูชาสามารถตรวจสอบและเข้าถึงการทำข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการกระทำทั้งหมดของรัฐบาลทั้งสองประเทศปราศจากเบื้องหลังหรือการแสวงหาประโยชน์ใดๆ ตามที่มีการกล่าวอ้างอยู่ในปัจจุบัน
ประการที่สอง จำเป็นต้องให้มีองค์กรภายจากนอก หรือกระบวนการที่เปิดให้ฝ่ายอื่นๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา ซึ่งบทบาทของอาเซียนหรือการตั้งอนุญาโตตุลาการน่าจะเป็นทางเลือกในการแก้ไขความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
ประการที่สาม นอกจากการดำเนินการในระดับรัฐบาลแล้ว ภาคประชาสังคมสามารถมีบทบาทอย่างสำคัญต่อการผลักดันและสนับสนุนให้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขด้วยความรู้และความยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาสังคมจากทั้งสองประเทศ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจต่อปัญหาที่กว้างขวางยิ่งขึ้น เช่น การจัดการพื้นที่ร่วมกันบนพื้นฐานของการคำนึงถึงเงื่อนไขทางสังคมและวัฒนธรรมมากกว่าผลประโยชน์แคบๆ ของรัฐที่ตั้งอยู่บนความหวาดระแวงระหว่างกัน
รศ.สมชาย แสดงความเห็นว่า การเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาในวันนี้ ไม่น่าจะช่วยทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้คลี่คลายลงแต่อย่างใด ตราบใดที่ยังเป็นเพียงการเจรจาบนโต๊ะที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งมองว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายลงไปได้ก็ต่อเมื่อมีการให้มีคนกลางร่วมในการเจรจาและสามารถตรวจสอบได้
ขณะเดียวกัน เห็นว่าความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหารที่เกิดขึ้นอยู่นี้ พรรคประชาธิปัตย์ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นผู้ปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมา
ขณะที่ นายอรรจักร สัตยานุรักษ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน แสดงความเห็นว่า สังคมไทยจะต้องหยุดการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา โดยยกตัวอย่างกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (19 ก.ค.) ว่า เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของกลไกรัฐในการจัดการปัญหา ซึ่งมองว่าตามปกติแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดควรจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือสมควรถูกย้าย
นอกจากนี้ นายอรรถจักรแสดงความเห็นด้วยว่า นายกรัฐมนตรียังไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเวลานี้ และคิดที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการใช้วิธีการตอบโต้เท่านั้น เช่น การจะออกโทรทัศน์ตอบโต้ เป็นต้น ซึ่งมีแต่จะก่อความขัดแย้งมากขึ้น