ปราจีนบุรี - ประธานหอการค้าปราจีนบุรีชี้ผลประกาศ “ปราสาทพระวิหาร“ เป็นมรดกโลกไม่กระทบการค้าและความสัมพันธ์กลุ่ม “เบญจบูรพาสุวรรณภูมิ” กับเขมร ชี้ผลประโยชน์ส่งออกไทยฝั่งสระแก้วรายได้ปีละกว่า 20,000 ล้านบาท/ปี ขณะเดียวกัน นักวิชาการจี้รัฐบาล “หมัก” ควรลาออกไปได้แล้ว
นายชุมพล สมใจ ประธานหอการค้าจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า จากที่มีการประกาศให้ปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ (ปราจีนบุรี สระแก้ว สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครนายก) ที่มีการติดต่อสัมพันธ์การค้ากับกัมพูชายังไม่มีปัญหาหรือผลขัดแย้งใดๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการประชุมร่วมกันในการที่จะไปร่วมกับทาง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ที่จะไปติดต่อหอการค้าประเทศกัมพูชา ในฝั่งเกาะกง ในโครงการดำเนินธุรกิจการค้าร่วมกันด้วย
“ส่วนโครงการค้าร่วมไทย-กัมพูชาในฝั่งด้านชายแดน จ.สระแก้วที่ผ่านมานั้นไทยเราได้ผลประโยชน์จากการส่งออกปีละกว่า 20,000 ล้านบาท ส่วนทางด้านฝั่งชายแดน จ.ตราด ได้รายได้จากการส่งออกปีละกว่า 2,000 ล้านบาท” นายชุมพล กล่าว และว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกรณีเขาพระวิหารนั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งของการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ขาดเอกภาพและไม่ควรนำมาสู่ข้อขัดแย้งหรือความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน
ด้าน นายกมล ตังคประเสริฐ ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่ม “เบญจบูรพาสุวรรณภูมิ” และกัมพูชามีการติดต่อสัมพันธ์ส่งเสริมด้านการค้าและการท่องเที่ยวโดยต่อเนื่องในการส่งเสริมการค้าขายในภูมิภาค และกระจายนักท่องเที่ยวในมุมมองแล้วเรากับกัมพูชาจะต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันต่อไป
“การที่มีการประกาศให้ปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่นักท่องเที่ยวจะได้มาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทั้งไทยและกัมพูชาจะได้รับผลประโยชน์ร่วม แต่ต้องบริหารจัดการที่ดีด้วยเช่นกัน” นายกมล กล่าว
ขณะที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ภาคความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเป็นไปในระยะสั้นแต่ระยะยาวไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาเคยมีกรณีที่กระทบกระทั่งกันในฐานะบ้านพี่เมืองน้องหลายกรณีที่รุนแรง เช่น การเผาสถานทูต กรณีเขมรแดง เป็นต้น แต่ปัญหาจะตกหนักในประเทศด้านรัฐบาล ในการบริหารประเทศขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญสิ่งดังกล่าวจะนำมาสู่การถอดถอนฝ่ายบริหารที่ ครม.รับผิดชอบเรื่องนี้ต้องลาออก แต่สิ่งที่ดีที่สุดรัฐบาลน่าจะลาออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว ให้จัดการให้มีรัฐบาลใหม่ขึ้นมา โดยไม่ต้องยื้อเวลาหรือรอยุบสภา
นายชุมพล สมใจ ประธานหอการค้าจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า จากที่มีการประกาศให้ปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ (ปราจีนบุรี สระแก้ว สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครนายก) ที่มีการติดต่อสัมพันธ์การค้ากับกัมพูชายังไม่มีปัญหาหรือผลขัดแย้งใดๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการประชุมร่วมกันในการที่จะไปร่วมกับทาง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ที่จะไปติดต่อหอการค้าประเทศกัมพูชา ในฝั่งเกาะกง ในโครงการดำเนินธุรกิจการค้าร่วมกันด้วย
“ส่วนโครงการค้าร่วมไทย-กัมพูชาในฝั่งด้านชายแดน จ.สระแก้วที่ผ่านมานั้นไทยเราได้ผลประโยชน์จากการส่งออกปีละกว่า 20,000 ล้านบาท ส่วนทางด้านฝั่งชายแดน จ.ตราด ได้รายได้จากการส่งออกปีละกว่า 2,000 ล้านบาท” นายชุมพล กล่าว และว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกรณีเขาพระวิหารนั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งของการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ขาดเอกภาพและไม่ควรนำมาสู่ข้อขัดแย้งหรือความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน
ด้าน นายกมล ตังคประเสริฐ ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่ม “เบญจบูรพาสุวรรณภูมิ” และกัมพูชามีการติดต่อสัมพันธ์ส่งเสริมด้านการค้าและการท่องเที่ยวโดยต่อเนื่องในการส่งเสริมการค้าขายในภูมิภาค และกระจายนักท่องเที่ยวในมุมมองแล้วเรากับกัมพูชาจะต้องสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันต่อไป
“การที่มีการประกาศให้ปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่นักท่องเที่ยวจะได้มาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทั้งไทยและกัมพูชาจะได้รับผลประโยชน์ร่วม แต่ต้องบริหารจัดการที่ดีด้วยเช่นกัน” นายกมล กล่าว
ขณะที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ภาคความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเป็นไปในระยะสั้นแต่ระยะยาวไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาเคยมีกรณีที่กระทบกระทั่งกันในฐานะบ้านพี่เมืองน้องหลายกรณีที่รุนแรง เช่น การเผาสถานทูต กรณีเขมรแดง เป็นต้น แต่ปัญหาจะตกหนักในประเทศด้านรัฐบาล ในการบริหารประเทศขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญสิ่งดังกล่าวจะนำมาสู่การถอดถอนฝ่ายบริหารที่ ครม.รับผิดชอบเรื่องนี้ต้องลาออก แต่สิ่งที่ดีที่สุดรัฐบาลน่าจะลาออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว ให้จัดการให้มีรัฐบาลใหม่ขึ้นมา โดยไม่ต้องยื้อเวลาหรือรอยุบสภา
