กาญจนบุรี – เอ็นจีโอเตือนรัฐต้องเข้มงวดเหมืองแร่ “เค็มโก้” อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมืองแร่ “ตะกั่วคลิตี้” ที่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรมนุษย์ที่อยู่รอบข้างใกล้เคียง
จากการที่ นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เดินทางไปตรวจสอบกระบวนการแต่งแร่ตะกั่วที่เหมืองแร่ของบริษัท กาญจนบุรี เอ็คโพเรชั่นแอนด์ไมนิ่ง (เค็มโก้) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.51 ที่ผ่านมา
ดังนั้น วันนี้ (16 มิ.ย.) เวลา 13.30 น. นายสุรพงศ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและศึกษากระเหรี่ยง เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นับเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เดินทางไปดูแลกระบวนการแต่งแร่ที่ย้ายมาจากโรงแต่งแร่คลิตี้ โดยเหมืองแร่เค็มโก้นั้นได้ทำการเปิดแต่งแร่มานานติดต่อกันตั้งแต่ปี 2535 จนถึง 2545 โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด
สำหรับเหมืองเค็มโก้นั้นอยู่ห่างจากเหมืองคลิตี้ 40 กว่ากิโลเมตร ซึ่งผลกระทบกับชาวบ้านคลิตี้ คงไม่มีอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทางราชการต้องเข้มงวดและใส่ใจในการควบคุมดูแลคือ กระบวนการแต่งแร่ที่เหมืองเค็มโก้เป็นแบบเหมืองเปิดที่บ่อเก็บกักที่มีทะเลตะกั่วสะสมหนาหลาย 10 เมตรก็เป็นแบบเหมืองแร่ตะกั่วคลิตี้
ดังนั้น การดำเนินการต้องพิจารณาเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด และที่สำคัญที่สุดน้ำจากการแต่งแร่ที่มีสารเคมีและสารตะกั่วก็ถูกปล่อยลงสู่อ่างเก็บนำเขื่อนศรีนครินทร์เหมือนกัน ดังนั้นการดูแลเกี่ยวกับเรื่องมลภาวะทางน้ำต้องพิจารณาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมมลพิษ ต้องเอาใจใส่ให้มาก อีกสิ่งหนึ่งต้องพิจารณา คือปี 2544 ที่ ครม.มีมติเกี่ยวกับการอนุญาตเหมืองแร่ในเขตพื้นที่บริเวณนี้ ครม.มีมติว่าจะไม่ต่อใบอนุญาตแต่ก็มีการอนุญาตในครั้งนี้ ก็ต้องพิจารณาข้อกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง
นายสุรพงศ์ กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ เหมืองเค็มโก้ ต้องตระหนักในเรื่องการควบคุมกระบวนการผลิตที่จะต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรมนุษย์ที่อยู่รอบข้างใกล้เคียงต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาที่ซ้ำรอยกับเหมืองแร่คลิตี้อย่างแน่นอน
มีรายงานข่าวว่า ข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านคลิตี้ล่างกับโรงแต่งแร่คลิตี้ยังเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาไตร่สวนของศาลปกครองสูงสุด หลังจากที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษเร่งดำเนินการแก้ปัญหาผลกระทบที่ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขฟิ้นฟูในพื้นที่เหมืองแร่ตะกั่วคลิตี้ ที่กรมควบคุมมลพิษยังดำเนินการล่าช้ารวมถึงศาลได้สั่งให้กรมควบคุมมลพิษจ่างค่าชดเชยแก่ชาวบ้านเป็นจำนวนเงินมากพอสมควรอีกด้วย แต่ทั้งคู่ความต่างไม่พอใจจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในขณะนี้
จากการที่ นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เดินทางไปตรวจสอบกระบวนการแต่งแร่ตะกั่วที่เหมืองแร่ของบริษัท กาญจนบุรี เอ็คโพเรชั่นแอนด์ไมนิ่ง (เค็มโก้) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.51 ที่ผ่านมา
ดังนั้น วันนี้ (16 มิ.ย.) เวลา 13.30 น. นายสุรพงศ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและศึกษากระเหรี่ยง เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นับเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เดินทางไปดูแลกระบวนการแต่งแร่ที่ย้ายมาจากโรงแต่งแร่คลิตี้ โดยเหมืองแร่เค็มโก้นั้นได้ทำการเปิดแต่งแร่มานานติดต่อกันตั้งแต่ปี 2535 จนถึง 2545 โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด
สำหรับเหมืองเค็มโก้นั้นอยู่ห่างจากเหมืองคลิตี้ 40 กว่ากิโลเมตร ซึ่งผลกระทบกับชาวบ้านคลิตี้ คงไม่มีอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทางราชการต้องเข้มงวดและใส่ใจในการควบคุมดูแลคือ กระบวนการแต่งแร่ที่เหมืองเค็มโก้เป็นแบบเหมืองเปิดที่บ่อเก็บกักที่มีทะเลตะกั่วสะสมหนาหลาย 10 เมตรก็เป็นแบบเหมืองแร่ตะกั่วคลิตี้
ดังนั้น การดำเนินการต้องพิจารณาเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด และที่สำคัญที่สุดน้ำจากการแต่งแร่ที่มีสารเคมีและสารตะกั่วก็ถูกปล่อยลงสู่อ่างเก็บนำเขื่อนศรีนครินทร์เหมือนกัน ดังนั้นการดูแลเกี่ยวกับเรื่องมลภาวะทางน้ำต้องพิจารณาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมมลพิษ ต้องเอาใจใส่ให้มาก อีกสิ่งหนึ่งต้องพิจารณา คือปี 2544 ที่ ครม.มีมติเกี่ยวกับการอนุญาตเหมืองแร่ในเขตพื้นที่บริเวณนี้ ครม.มีมติว่าจะไม่ต่อใบอนุญาตแต่ก็มีการอนุญาตในครั้งนี้ ก็ต้องพิจารณาข้อกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง
นายสุรพงศ์ กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ เหมืองเค็มโก้ ต้องตระหนักในเรื่องการควบคุมกระบวนการผลิตที่จะต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรมนุษย์ที่อยู่รอบข้างใกล้เคียงต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาที่ซ้ำรอยกับเหมืองแร่คลิตี้อย่างแน่นอน
มีรายงานข่าวว่า ข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านคลิตี้ล่างกับโรงแต่งแร่คลิตี้ยังเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาไตร่สวนของศาลปกครองสูงสุด หลังจากที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษเร่งดำเนินการแก้ปัญหาผลกระทบที่ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขฟิ้นฟูในพื้นที่เหมืองแร่ตะกั่วคลิตี้ ที่กรมควบคุมมลพิษยังดำเนินการล่าช้ารวมถึงศาลได้สั่งให้กรมควบคุมมลพิษจ่างค่าชดเชยแก่ชาวบ้านเป็นจำนวนเงินมากพอสมควรอีกด้วย แต่ทั้งคู่ความต่างไม่พอใจจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในขณะนี้
