กาฬสินธุ์ - ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรถรับจ้างได้เริ่มหยุดกิจการ โดยเฉพาะในกลุ่มของรถสองแถวรับจ้างเตรียมทบทวนราคาเพื่อขอขึ้นใหม่
จากการติดตามปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นรายวัน โดยเฉลี่ยราคาน้ำมันเบนซิน ที่จำหน่ายปลีกในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์จะอยู่ที่ราคาลิตรละ 39 บาท ขณะที่น้ำมันดีเซลก็เริ่มปรับตัวถึงลิตรละ 39.56 บาท ที่ถือว่าเป็นราคาที่สูงซึ่งได้กระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจฐานรากโดยภาพรวม สินค้าทุกชนิดมีการปรับราคาขึ้นถึง 100% โดยพ่อค้าอ้างว่าเกิดจากปัญหาค่าขนส่งกับปัญหาภัยธรรมชาติ
สำหรับในกลุ่มผู้ประกอบการรถสามล้อเครื่อง ซึ่งมีอยู่กว่า 2 หมื่นคัน ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ประกอบการเริ่มที่จะหยุดให้บริการเนื่องจากเชื้อเพลิงที่ใช้ในรถสามล้อเป็นน้ำมันเบนซิน ที่มีราคาสูงถึงลิตรละ 39 บาท แต่ในขณะที่ราคาค่าโดยสารจะถูกจำกัดอยู่เพียงครั้งละ 20 บาท หรือประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรถสองแถวในหลายบริษัทก็พบว่า ในกลุ่มสมาชิกก็เริ่มที่จะหยุดทำการเดินรถ เนื่องจากทนรับภาระไม่ไหว
ในอนาคตที่กาฬสินธุ์อาจจะเกิดปัญหาขาดแคลนรถโดยสาร จึงต้องการให้ ขนส่งจังหวัด ทำการทบทวนอัตราค่าโดยสาร ซึ่งเป็นไปได้ว่าในระยุทางไกลราคาค่าโดยสารระหว่างอำเภออาจจะต้องเพิ่มขึ้นอีก 30 บาทตลอดสาย หรือประมาณคนละ 100 บาท จึงจะเป็นราคาที่เหมาะสมและทำให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่ได้
ด้าน นายภิรมย์ ภูแดนแถว อายุ 35 ปี เจ้าของรถสองแถว กาฬสินธุ์-สหัสขันธ์ กล่าวว่า ในตอนนี้เพื่อนผู้ประกอบการรถสองแถวกำลังจะหยุดการเดินรถแล้วเพราะไม่สามารถทนแบกรับภาระค่าน้ำมันได้อีก
อย่างไรก็ตาม หากมีการประชุมสหกรณ์เดินรถ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อขอปรับราคาค่าโดยสาร หากราคาการปรับยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ก็คงยุติการเดินรถไป
“น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้ส่งผลให้เจ้าของรถสองแถวต้องมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ผู้โดยสารเองก็ลดน้อยลงวันๆ หนึ่งจะมีผู้โดยสารเพียงวันละ 5-10 คน ซึ่งการปรับราคาค่าโดยสารอาจจะต้องเพิ่มถึงเที่ยวละ 100 บาท ต่อระยะทาง 30 กิโลเมตร ไม่เช่นนั้นเจ้าของรถโดยสารก็อยู่ไม่ได้ เพราะรายได้การวิ่งรถในทุกวันนี้ไปกลับ 60 กิโลเมตรรายได้เพียงวันละ 300-500 บาท ขณะที่ต้องเติมน้ำมันวันหนึ่งอาจถึงวันละ 1,000 บาทแล้ว ซึ่งหากไม่มีการปรับราคาคงต้องเปลี่ยนไปทำนาแทนการวิ่งรถเพราะคงจะได้รายได้มากกว่าขาดทุน”
ขณะที่ นายทองใบ เหมไชย อายุ 53 ปี ชาวบ้านอ.เมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า อยากจะเรียกร้องให้รัฐบาลสนใจความเป็นอยู่ของประชาชนบ้างเพราะความลำบากจากราคาสินค้าอื่นๆ ที่พุ่งสูงมันสร้างความลำบากมาก ถ้าหารัฐบาลหันมาให้ความสนใจแก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้านมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญคงจะทำให้ชาวบ้านไม่เดือดร้อนมากขนาดนี้ โดยส่วนตัวอยากให้รัฐบาลได้แสดงความรับผิดชอบและออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
“ไม่ใช่มีเพียงรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์วิ่งหาทางแก้แต่รัฐมนตรีทุกคนน่าจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ในภาพรวมของรัฐบาลทั้งค่าน้ำมัน ค่าปุ๋ย สินค้าอุปโภคบริโภคทุกอย่างแพงขึ้นหมดต้องหันมาช่วยเหลือให้มีราคาลดลงเท่าที่กำลังของประชาชนจะซื้อได้ ความลำบากจากสินค้า อาหารแพงทำให้ประชาชนที่มีรายได้ต่ำจะอดตายกันแล้ว”
จากการติดตามปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นรายวัน โดยเฉลี่ยราคาน้ำมันเบนซิน ที่จำหน่ายปลีกในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์จะอยู่ที่ราคาลิตรละ 39 บาท ขณะที่น้ำมันดีเซลก็เริ่มปรับตัวถึงลิตรละ 39.56 บาท ที่ถือว่าเป็นราคาที่สูงซึ่งได้กระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจฐานรากโดยภาพรวม สินค้าทุกชนิดมีการปรับราคาขึ้นถึง 100% โดยพ่อค้าอ้างว่าเกิดจากปัญหาค่าขนส่งกับปัญหาภัยธรรมชาติ
สำหรับในกลุ่มผู้ประกอบการรถสามล้อเครื่อง ซึ่งมีอยู่กว่า 2 หมื่นคัน ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ประกอบการเริ่มที่จะหยุดให้บริการเนื่องจากเชื้อเพลิงที่ใช้ในรถสามล้อเป็นน้ำมันเบนซิน ที่มีราคาสูงถึงลิตรละ 39 บาท แต่ในขณะที่ราคาค่าโดยสารจะถูกจำกัดอยู่เพียงครั้งละ 20 บาท หรือประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรถสองแถวในหลายบริษัทก็พบว่า ในกลุ่มสมาชิกก็เริ่มที่จะหยุดทำการเดินรถ เนื่องจากทนรับภาระไม่ไหว
ในอนาคตที่กาฬสินธุ์อาจจะเกิดปัญหาขาดแคลนรถโดยสาร จึงต้องการให้ ขนส่งจังหวัด ทำการทบทวนอัตราค่าโดยสาร ซึ่งเป็นไปได้ว่าในระยุทางไกลราคาค่าโดยสารระหว่างอำเภออาจจะต้องเพิ่มขึ้นอีก 30 บาทตลอดสาย หรือประมาณคนละ 100 บาท จึงจะเป็นราคาที่เหมาะสมและทำให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่ได้
ด้าน นายภิรมย์ ภูแดนแถว อายุ 35 ปี เจ้าของรถสองแถว กาฬสินธุ์-สหัสขันธ์ กล่าวว่า ในตอนนี้เพื่อนผู้ประกอบการรถสองแถวกำลังจะหยุดการเดินรถแล้วเพราะไม่สามารถทนแบกรับภาระค่าน้ำมันได้อีก
อย่างไรก็ตาม หากมีการประชุมสหกรณ์เดินรถ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อขอปรับราคาค่าโดยสาร หากราคาการปรับยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ก็คงยุติการเดินรถไป
“น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้ส่งผลให้เจ้าของรถสองแถวต้องมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ผู้โดยสารเองก็ลดน้อยลงวันๆ หนึ่งจะมีผู้โดยสารเพียงวันละ 5-10 คน ซึ่งการปรับราคาค่าโดยสารอาจจะต้องเพิ่มถึงเที่ยวละ 100 บาท ต่อระยะทาง 30 กิโลเมตร ไม่เช่นนั้นเจ้าของรถโดยสารก็อยู่ไม่ได้ เพราะรายได้การวิ่งรถในทุกวันนี้ไปกลับ 60 กิโลเมตรรายได้เพียงวันละ 300-500 บาท ขณะที่ต้องเติมน้ำมันวันหนึ่งอาจถึงวันละ 1,000 บาทแล้ว ซึ่งหากไม่มีการปรับราคาคงต้องเปลี่ยนไปทำนาแทนการวิ่งรถเพราะคงจะได้รายได้มากกว่าขาดทุน”
ขณะที่ นายทองใบ เหมไชย อายุ 53 ปี ชาวบ้านอ.เมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า อยากจะเรียกร้องให้รัฐบาลสนใจความเป็นอยู่ของประชาชนบ้างเพราะความลำบากจากราคาสินค้าอื่นๆ ที่พุ่งสูงมันสร้างความลำบากมาก ถ้าหารัฐบาลหันมาให้ความสนใจแก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้านมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญคงจะทำให้ชาวบ้านไม่เดือดร้อนมากขนาดนี้ โดยส่วนตัวอยากให้รัฐบาลได้แสดงความรับผิดชอบและออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
“ไม่ใช่มีเพียงรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์วิ่งหาทางแก้แต่รัฐมนตรีทุกคนน่าจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ในภาพรวมของรัฐบาลทั้งค่าน้ำมัน ค่าปุ๋ย สินค้าอุปโภคบริโภคทุกอย่างแพงขึ้นหมดต้องหันมาช่วยเหลือให้มีราคาลดลงเท่าที่กำลังของประชาชนจะซื้อได้ ความลำบากจากสินค้า อาหารแพงทำให้ประชาชนที่มีรายได้ต่ำจะอดตายกันแล้ว”
