กาญจนบุรี – มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ดันตั้งวิทยาลัยการท่องเที่ยวและเสนอสร้างศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติในหลวงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและการสัมมนาได้ครั้งละ 3,000 คน
วันนี้ (19 พ.ค.) เวลา 14.30 น.ผศ.ดร.ปัญญา การพานิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานเกี่ยวกับการสนองตอบนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่มีนโยบายให้มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี นำร่องเกี่ยวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคกลาง
อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี เปิดเผยว่า โดยที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับแผนการดำเนินการได้ข้อสรุปว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีจะเริ่มพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อรองรับการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อนำไปสู่การสร้างบุคลากรในการเข้าสู่ธุรกิจบริการ
โดยให้โปรแกรมวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะวิทยาการจัดการ ดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพไปสู่การจัดตั้งวิทยาลัยท่องเที่ยว โดยมีแผนงานที่จะตั้งวิทยาลัยการท่องเที่ยวในพื้นที่ดินราชพัสดุของกรมธนะรักษ์ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่กรมชลประทานได้เวนคืนจากราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จำนวน 600 กว่าไร่ ตั้งอยู่บริเวณหน้าเมืองข้างเกาะสมเด็จพระสังฆราช
โดยทางมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้เสนอแผนงานเพื่อขอใช้ที่ดินและได้จัดทำโครงการก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างอาคารศูนย์ประชุมสัมมนาและศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีไว้แล้วตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกลุ่มจังหวัดด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัดกาญจนบุรีในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
โดยจะมีเป้าประสงค์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวและเป็นการเพิ่มรายได้และรองรับการเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวที่จะมากขึ้นตลอดเวลา และเป็นการพัฒนาและยกระดับแหล่งท่องเที่ยว,การบริการและเป็นการจัดระเบียบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเพิ่มความสวยงาม และเพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์อำนวยการที่จะอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในอนาคต”
อธิการบดี ม.ราชภัฏกาญจนบุรี กล่าวต่อว่า โครงการนี้จะสร้างเพื่อเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก โดยจะใช้ชื่อโครงการศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยื่นคำขอตั้งงบประมาณเพื่อการดำเนินการปี 2552 จำนวน 300 ล้านบาท
โดยประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ ก็คือ ส่วนราชการสามารถได้หอประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้ร่วมประชุมประมาณ 3,000 คนได้ นักเรียนนักศึกษาจะได้ฝึกประสบการณ์จากสถานที่จริง ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และผู้ประกอบการธุรกิจจัดการประชุมหรืองานแสดงสินค้า ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้รวมถึงเป็นการสร้างรายได้และพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวในอนาคต
“ส่วนอีกด้านหนึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ก็จะเพิ่มศักยภาพทางการศึกษาในการผลักดันนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปการเกษตรเพื่อรองรับสถานการณ์การผลิตพลังงานทดแทนในอนาคต” ผศ.ดร.ปัญญา กล่าว
มีรายงานข่าวว่า การเสนอจัดตั้งวิทยาลัยการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีในครั้งนี้ถือว่าเป็นการวางแผนงานที่สอดคล้องกับท่องถิ่นมากที่สุด เพราะจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวปีละประมาณ 5,000,000 คน และมีแนวโน้มจะมากขึ้นต่อไปเรื่อย รวมถึงหากโครงการก่อสร้างถนนทวาย-กาญจนบุรี ดำเนินการก่อสร้างก็จะทำให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน
วันนี้ (19 พ.ค.) เวลา 14.30 น.ผศ.ดร.ปัญญา การพานิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานเกี่ยวกับการสนองตอบนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่มีนโยบายให้มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี นำร่องเกี่ยวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคกลาง
อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี เปิดเผยว่า โดยที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับแผนการดำเนินการได้ข้อสรุปว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีจะเริ่มพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อรองรับการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อนำไปสู่การสร้างบุคลากรในการเข้าสู่ธุรกิจบริการ
โดยให้โปรแกรมวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะวิทยาการจัดการ ดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพไปสู่การจัดตั้งวิทยาลัยท่องเที่ยว โดยมีแผนงานที่จะตั้งวิทยาลัยการท่องเที่ยวในพื้นที่ดินราชพัสดุของกรมธนะรักษ์ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่กรมชลประทานได้เวนคืนจากราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จำนวน 600 กว่าไร่ ตั้งอยู่บริเวณหน้าเมืองข้างเกาะสมเด็จพระสังฆราช
โดยทางมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้เสนอแผนงานเพื่อขอใช้ที่ดินและได้จัดทำโครงการก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างอาคารศูนย์ประชุมสัมมนาและศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีไว้แล้วตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกลุ่มจังหวัดด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัดกาญจนบุรีในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
โดยจะมีเป้าประสงค์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวและเป็นการเพิ่มรายได้และรองรับการเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวที่จะมากขึ้นตลอดเวลา และเป็นการพัฒนาและยกระดับแหล่งท่องเที่ยว,การบริการและเป็นการจัดระเบียบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเพิ่มความสวยงาม และเพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์อำนวยการที่จะอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในอนาคต”
อธิการบดี ม.ราชภัฏกาญจนบุรี กล่าวต่อว่า โครงการนี้จะสร้างเพื่อเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก โดยจะใช้ชื่อโครงการศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยื่นคำขอตั้งงบประมาณเพื่อการดำเนินการปี 2552 จำนวน 300 ล้านบาท
โดยประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ ก็คือ ส่วนราชการสามารถได้หอประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้ร่วมประชุมประมาณ 3,000 คนได้ นักเรียนนักศึกษาจะได้ฝึกประสบการณ์จากสถานที่จริง ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และผู้ประกอบการธุรกิจจัดการประชุมหรืองานแสดงสินค้า ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้รวมถึงเป็นการสร้างรายได้และพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวในอนาคต
“ส่วนอีกด้านหนึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ก็จะเพิ่มศักยภาพทางการศึกษาในการผลักดันนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปการเกษตรเพื่อรองรับสถานการณ์การผลิตพลังงานทดแทนในอนาคต” ผศ.ดร.ปัญญา กล่าว
มีรายงานข่าวว่า การเสนอจัดตั้งวิทยาลัยการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีในครั้งนี้ถือว่าเป็นการวางแผนงานที่สอดคล้องกับท่องถิ่นมากที่สุด เพราะจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวปีละประมาณ 5,000,000 คน และมีแนวโน้มจะมากขึ้นต่อไปเรื่อย รวมถึงหากโครงการก่อสร้างถนนทวาย-กาญจนบุรี ดำเนินการก่อสร้างก็จะทำให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน