ศูนย์ข่าวศรีราชา- เพลิงลุกไหม้กุฏิรองเจ้าอาวาสวัดชนะสงสาร เผาวอดพระพุทธรูปเก่า และกรุเก็บพระเครื่องที่สำคัญของทางวัดเกือบหมด ขณะชาวบ้านเชื่อต้นเหตุเพลิงเกิดจากเชิงเทียนไฟฟ้า ที่เปิดทิ้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชาทั้งคืนวันไม่เคยปิด จนเกิดชำรุดหลอมละลายลุกไหม้ ด้านตำรวจยังรอให้กองพิสูจน์หลักฐานชี้ชัดถึงสาเหตุอีกครั้ง
วันนี้ (7 พ.ค.) เวลา 10.30 น.พ.ต.ท.ไพฑูรย์ พันตานุสนธ์ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้กุฏิพระ ภายในวัดชนะสงสาร ตั้งอยู่เลขที่ 64 ม.7 ต.คลองนครเนื่องเขต อ.เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นกุฏิของพระปลัดนพดล กุสลจิตโต รองเจ้าอาวาสวัดชนะสงสาร ซึ่งขณะเกิดเหตุเจ้าตัวไม่อยู่ได้เดินทางไปทำกิจนิมนต์ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี จึงประสานรถดับเพลิงพร้อมเดินทางไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ
ในที่เกิดเหตุเป็นกุฏิสองชั้นปลูกสร้างด้วยคอนกรีตผสมไม้ หลังคามุงกระเบื้อง โดยเพลิงได้เริ่มลุกไม้ที่บริเวณชั้นสอง ซึ่งเป็นกุฏิที่พักของรองเจ้าอาวาสวัด และแบ่งเป็นห้องโถงใช้เป็นสถานที่เก็บพระพุทธรูป กรุพระเครื่อง และเครื่องอัฐบริขารของทางวัด รวมทั้งเป็นสถานที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชา
เพลิงได้เริ่มลุกไหม้บริเวณชั้นบนจนเสียหายทั้งหมด โดยมีพระภิกษุและกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง มาช่วยกันดับไฟที่ลุกไหม้ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพลิงจึงสงบลง พร้อมรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา เดินทางมาถึง และเข้าควบคุมเพลิงไว้ไม่ให้คุขึ้นมาลุกลามได้อีก
สอบสวน พระปลูก ปิยธมฺโม อายุ 55 ปี พระลูกวัดที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขณะเดินผ่านบริเวณกุฏิดังกล่าว ได้เห็นกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากด้านบนชั้นสองของกุฏิ และได้เกิดไฟลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงขึ้นมา จึงได้รีบแจ้งให้พระสงฆ์ภายในวัดมาช่วยกันระดมดับไฟที่กำลังลุกไหม้ พร้อมทั้งได้โทรศัพท์แจ้งให้รถดับเพลิงของทางเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราทราบ และเดินทางมาร่วมควบคุมเพลิงจำนวน 2 คัน จนสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ขณะที่ นายวิทยา ศรีรัตน์ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 ม.7 ต.คลองนครเนื่องเขต ซึ่งเป็นโยมอุปถากของพระปลัดนพดล กุสลจิตโต รองเจ้าอาวาส กล่าวว่า เชื่อว่า สาเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร จากเชิงเทียนไฟฟ้าที่เปิดทิ้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชาตลอดทั้งคืนทั้งวันไม่เคยปิด จนเกิดความร้อนทำให้เชิงเทียน ซึ่งเป็นพลาสติกหลอมละลายชำรุด และเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมา
พ.ต.ท.ไพฑูรย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของต้นเพลิงที่แน่ชัด และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องรอให้เจ้าหน้าที่จากกองวิทยาการพิสูจน์หลักฐานมาทำการตรวจสอบ เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุ และมูลค่าความเสียหายอีกครั้ง
วันนี้ (7 พ.ค.) เวลา 10.30 น.พ.ต.ท.ไพฑูรย์ พันตานุสนธ์ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้กุฏิพระ ภายในวัดชนะสงสาร ตั้งอยู่เลขที่ 64 ม.7 ต.คลองนครเนื่องเขต อ.เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นกุฏิของพระปลัดนพดล กุสลจิตโต รองเจ้าอาวาสวัดชนะสงสาร ซึ่งขณะเกิดเหตุเจ้าตัวไม่อยู่ได้เดินทางไปทำกิจนิมนต์ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี จึงประสานรถดับเพลิงพร้อมเดินทางไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ
ในที่เกิดเหตุเป็นกุฏิสองชั้นปลูกสร้างด้วยคอนกรีตผสมไม้ หลังคามุงกระเบื้อง โดยเพลิงได้เริ่มลุกไม้ที่บริเวณชั้นสอง ซึ่งเป็นกุฏิที่พักของรองเจ้าอาวาสวัด และแบ่งเป็นห้องโถงใช้เป็นสถานที่เก็บพระพุทธรูป กรุพระเครื่อง และเครื่องอัฐบริขารของทางวัด รวมทั้งเป็นสถานที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชา
เพลิงได้เริ่มลุกไหม้บริเวณชั้นบนจนเสียหายทั้งหมด โดยมีพระภิกษุและกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง มาช่วยกันดับไฟที่ลุกไหม้ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพลิงจึงสงบลง พร้อมรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา เดินทางมาถึง และเข้าควบคุมเพลิงไว้ไม่ให้คุขึ้นมาลุกลามได้อีก
สอบสวน พระปลูก ปิยธมฺโม อายุ 55 ปี พระลูกวัดที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขณะเดินผ่านบริเวณกุฏิดังกล่าว ได้เห็นกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากด้านบนชั้นสองของกุฏิ และได้เกิดไฟลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงขึ้นมา จึงได้รีบแจ้งให้พระสงฆ์ภายในวัดมาช่วยกันระดมดับไฟที่กำลังลุกไหม้ พร้อมทั้งได้โทรศัพท์แจ้งให้รถดับเพลิงของทางเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราทราบ และเดินทางมาร่วมควบคุมเพลิงจำนวน 2 คัน จนสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ขณะที่ นายวิทยา ศรีรัตน์ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 ม.7 ต.คลองนครเนื่องเขต ซึ่งเป็นโยมอุปถากของพระปลัดนพดล กุสลจิตโต รองเจ้าอาวาส กล่าวว่า เชื่อว่า สาเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร จากเชิงเทียนไฟฟ้าที่เปิดทิ้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชาตลอดทั้งคืนทั้งวันไม่เคยปิด จนเกิดความร้อนทำให้เชิงเทียน ซึ่งเป็นพลาสติกหลอมละลายชำรุด และเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมา
พ.ต.ท.ไพฑูรย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของต้นเพลิงที่แน่ชัด และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องรอให้เจ้าหน้าที่จากกองวิทยาการพิสูจน์หลักฐานมาทำการตรวจสอบ เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุ และมูลค่าความเสียหายอีกครั้ง
