มหาสารคาม-เหตุเพลิงไหม้ตลาดโกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เสียหายไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท เนื่องจากเป็นย่านธุรกิจการค้าสำคัญ ขณะที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าทำการตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุเพลิงไหม้ที่แท้จริงต่อไปแล้ว
ตามที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ย่านธุรกิจสำคัญเขตเทศบาลตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม วอดไปรวม 47 คูหา ตลอดคืนที่ผ่านมาหน่วยดับเพลิงได้ระดมฉีดน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกไหม้ขึ้นอีก เนื่องจากบริเวณเกิดเหตุเพลิงไหม้เป็นร้านค้าจำหน่ายเครื่องเขียน แบบพิมพ์ ชุดเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านจำหน่ายแก๊ซหุงต้ม วัสดุการก่อสร้าง ซึ่งเป็นวัตถุที่ติดไฟและเป็นเชื้อเพลิงลุกไหม้ได้ง่าย
อีกทั้งยังติดกับธนาคารกรุงไทย ตู้เอทีเอ็ม จนรุ่งเช้าเจ้าของร้านค้าแต่ละแห่งได้ไปขุดคุ้ยซากไม้ เศษวัสดุที่ถูกไฟไหม้กองทับถมกัน เพื่อค้นหาทรัพย์สิน สิ่งของมีค่าที่ฝักใต้ซากวัสดุดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ร้านแต่ละแห่งถูกเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จึงไม่สามารถทรัพย์สินสิ่งของมีค่านำออกจากร้านค้าได้ ต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด
เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ในรอบ 100 ปี เจ้าของร้านที่ประสบเหตุต่างสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน ไร้ที่อยู่อาศัย และเสื้อผ้าเนื่องจากถูกเผาผลาญไปกับกองเพลิง ต้องไปอาศัยญาติพี่น้อง ขณะเดียวกันได้มีผู้มีจิตเป็นกุศลได้จัดหาอาหาร และน้ำดื่มไว้คอยช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ ส่วนเทศบาลตำบลหัวขวางได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยลงทะเบียนแจ้งทรัพย์สินที่เสียหาย
รวมถึงโรงพยาบาลโกสุมพิสัยได้จัดหน่วยแพทย์ไว้คอยช่วยเหลือผู้ป่วย และการไฟฟ้าได้เร่งซ่อมแซมสายไฟที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้บริเวณบ้านที่ไม่ถูกไฟไหม้ได้มีไฟฟ้าใช้โดยด่วนแล้ว
จังหวัดมหาสารคาม หลายหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ ตลาดโกสุมพิสัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
ล่าสุดนายรังสรรค์ เพียรอดวงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม พร้อมด้วยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลหัวขวาง องค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์กรเอกชน ได้ลงพื้นที่ออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว ที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยใช้สำนักงานเทศบาลตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัยเป็นสถานที่ตั้ง เพื่อไว้คอยรับแจ้งเหตุและประสานความช่วยเหลือ
ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ได้มอบเงินสดช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ ครัวเรือนละ 10,000 บาท พร้อมถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนในเบื้องต้น.
ตามที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ย่านธุรกิจสำคัญเขตเทศบาลตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม วอดไปรวม 47 คูหา ตลอดคืนที่ผ่านมาหน่วยดับเพลิงได้ระดมฉีดน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกไหม้ขึ้นอีก เนื่องจากบริเวณเกิดเหตุเพลิงไหม้เป็นร้านค้าจำหน่ายเครื่องเขียน แบบพิมพ์ ชุดเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านจำหน่ายแก๊ซหุงต้ม วัสดุการก่อสร้าง ซึ่งเป็นวัตถุที่ติดไฟและเป็นเชื้อเพลิงลุกไหม้ได้ง่าย
อีกทั้งยังติดกับธนาคารกรุงไทย ตู้เอทีเอ็ม จนรุ่งเช้าเจ้าของร้านค้าแต่ละแห่งได้ไปขุดคุ้ยซากไม้ เศษวัสดุที่ถูกไฟไหม้กองทับถมกัน เพื่อค้นหาทรัพย์สิน สิ่งของมีค่าที่ฝักใต้ซากวัสดุดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ร้านแต่ละแห่งถูกเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จึงไม่สามารถทรัพย์สินสิ่งของมีค่านำออกจากร้านค้าได้ ต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด
เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ในรอบ 100 ปี เจ้าของร้านที่ประสบเหตุต่างสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน ไร้ที่อยู่อาศัย และเสื้อผ้าเนื่องจากถูกเผาผลาญไปกับกองเพลิง ต้องไปอาศัยญาติพี่น้อง ขณะเดียวกันได้มีผู้มีจิตเป็นกุศลได้จัดหาอาหาร และน้ำดื่มไว้คอยช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ ส่วนเทศบาลตำบลหัวขวางได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยลงทะเบียนแจ้งทรัพย์สินที่เสียหาย
รวมถึงโรงพยาบาลโกสุมพิสัยได้จัดหน่วยแพทย์ไว้คอยช่วยเหลือผู้ป่วย และการไฟฟ้าได้เร่งซ่อมแซมสายไฟที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้บริเวณบ้านที่ไม่ถูกไฟไหม้ได้มีไฟฟ้าใช้โดยด่วนแล้ว
จังหวัดมหาสารคาม หลายหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ ตลาดโกสุมพิสัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
ล่าสุดนายรังสรรค์ เพียรอดวงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม พร้อมด้วยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลหัวขวาง องค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์กรเอกชน ได้ลงพื้นที่ออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว ที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยใช้สำนักงานเทศบาลตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัยเป็นสถานที่ตั้ง เพื่อไว้คอยรับแจ้งเหตุและประสานความช่วยเหลือ
ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ได้มอบเงินสดช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ ครัวเรือนละ 10,000 บาท พร้อมถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนในเบื้องต้น.
