ตราด - แกนนำกลุ่มพัฒนาบ่อไร่ ผู้สมัครรับการเลือกตั้งสมาชิก อบจ.จี้ กกต.ตราด เร่งประชาสัมพันธ์สีบัตรเลือกตั้ง อบจ.เพื่อไม่ให้ชาวบ้านสับสน หวั่นชาวบ้านไม่เข้าใจกลัวกาผิด
นายเสกสรร วิรัชนีย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ตราด เขต 4 อ.บ่อไร่ จ.ตราด และเลขานุการกลุ่มพัฒนาบ่อไร่ เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มพัฒนาบ่อไร่ได้ลงรับสมัครแข่งขันกับผู้สมัครในแต่ละเขต พบว่าไม่น่าหนักใจเท่าใดนัก
โดยเฉพาะในเขตที่ 1 นายปกรณ์ ราชนิยม เขต 2 นายธนพล ปรีดาสุทธิจิต เนื่องจาก คู่แข่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เขตที่ 3 ที่มีนายจำเนียร ไชยริปู หัวหน้ากลุ่มพัฒนาบ่อไร่ ที่ห่างจากพื้นที่เลือกตั้งมานาน ต้องมาคู่แข่งคือ ร.ต.เสนาะ อยู่บ้านแพ้ว ซึ่งลงพื้นที่หาเสียงบ่อยครั้งและได้รับการตอบรับจากประชาชนมากขึ้น
อีกทั้งนายจำเนียร ไชยริปู ประสบอุบัติเหตุทำให้ฝ่าเท้าแตกต้องเข้ารับการรักษาจนต้องเข้าเฝือก เป็นอุปสรรคในการ หาเสียง จึงต้องส่งภรรยาลงพื้นที่หาเสียงแทน แต่ในช่วง 10 วันสุดท้าย จะออกหาเสียงเพื่อขอคะแนนจากชาว บ่อพลอย
“นายจำเนียร จะมีปัญหาเรื่องกระแสในช่วงต้น แต่ในช่วงท้ายคะแนน จะกลับคืนมาและประสบชัย ชนะทุกครั้ง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ จะประมาทไม่ได้ เพราะคู่แข่งขันขยันลงพื้นที่และเริ่มมีกระแสตอบรับมากขึ้น ซึ่งหากพวกเราสอบตกจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้านายจำเนียร สอบตกจะเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น ผู้สมัครทุกคนจะออกมา หาเสียง สนับสนุนช่วยเพื่อเรียกคะแนนคืนมา แต่ปัญหาที่ห่วงก็คือ ประชาชนไม่ค่อยเข้าใจ และจะมีปัญหาเรื่อง การกาบัตร 2 ใบของนายกอบจ. และสมาชิก อบจ. หากบอกว่าสีไหนเป็นของ นายก อบจ.และสีไหน เป็นของสมาชิก อบจ.จะทำให้ผู้สมัครไปบอกประชาชนได้จะได้ไม่สับสน”
นายเสกสรร กล่าวต่อว่า สำหรับเขตเลือกตั้งของตนเองนั้น มีผู้สมัคร 3 คน แต่ที่น่ากลัวและประมาทไม่ได้ก็คือ นายณรงค์ พาทีทิน อดีต ส.อบจ.ตราด เขต อ.บ่อไร่ ที่ประกาศว่าจะทุ่มเทการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หากพ่ายแพ้ก็จะเลิกเล่นการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาตนเองไม่ได้ประมาทออกหาเสียงในพื้นที่ตลอด แต่กลัวอีกฝ่ายจะใช้ กลยุทธใต้ดินในการเลือกตั้งและใช้หัวคะแนนในการทำงานในพื้นที่มาก รวมทั้งใช้เงินทำสื่อประชาสัมพันธ์สูง
โดยในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาชนะนายณรงค์ พาทีทิน แค่ 150 คะแนน ที่ออกหาเสียงไม่มากและไม่ได้ทำสื่อเลย ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงประมาทไม่ได้ เพราะหากพ่ายแพ้จะทำให้ประชาชนเสียโอกาสกับงานที่ตนเองทำต่อไป ซึ่งหากประมาทก็คงจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งแน่ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงขยันลงพื้นที่มากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้ง
นายเสกสรร วิรัชนีย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ตราด เขต 4 อ.บ่อไร่ จ.ตราด และเลขานุการกลุ่มพัฒนาบ่อไร่ เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มพัฒนาบ่อไร่ได้ลงรับสมัครแข่งขันกับผู้สมัครในแต่ละเขต พบว่าไม่น่าหนักใจเท่าใดนัก
โดยเฉพาะในเขตที่ 1 นายปกรณ์ ราชนิยม เขต 2 นายธนพล ปรีดาสุทธิจิต เนื่องจาก คู่แข่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เขตที่ 3 ที่มีนายจำเนียร ไชยริปู หัวหน้ากลุ่มพัฒนาบ่อไร่ ที่ห่างจากพื้นที่เลือกตั้งมานาน ต้องมาคู่แข่งคือ ร.ต.เสนาะ อยู่บ้านแพ้ว ซึ่งลงพื้นที่หาเสียงบ่อยครั้งและได้รับการตอบรับจากประชาชนมากขึ้น
อีกทั้งนายจำเนียร ไชยริปู ประสบอุบัติเหตุทำให้ฝ่าเท้าแตกต้องเข้ารับการรักษาจนต้องเข้าเฝือก เป็นอุปสรรคในการ หาเสียง จึงต้องส่งภรรยาลงพื้นที่หาเสียงแทน แต่ในช่วง 10 วันสุดท้าย จะออกหาเสียงเพื่อขอคะแนนจากชาว บ่อพลอย
“นายจำเนียร จะมีปัญหาเรื่องกระแสในช่วงต้น แต่ในช่วงท้ายคะแนน จะกลับคืนมาและประสบชัย ชนะทุกครั้ง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ จะประมาทไม่ได้ เพราะคู่แข่งขันขยันลงพื้นที่และเริ่มมีกระแสตอบรับมากขึ้น ซึ่งหากพวกเราสอบตกจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้านายจำเนียร สอบตกจะเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น ผู้สมัครทุกคนจะออกมา หาเสียง สนับสนุนช่วยเพื่อเรียกคะแนนคืนมา แต่ปัญหาที่ห่วงก็คือ ประชาชนไม่ค่อยเข้าใจ และจะมีปัญหาเรื่อง การกาบัตร 2 ใบของนายกอบจ. และสมาชิก อบจ. หากบอกว่าสีไหนเป็นของ นายก อบจ.และสีไหน เป็นของสมาชิก อบจ.จะทำให้ผู้สมัครไปบอกประชาชนได้จะได้ไม่สับสน”
นายเสกสรร กล่าวต่อว่า สำหรับเขตเลือกตั้งของตนเองนั้น มีผู้สมัคร 3 คน แต่ที่น่ากลัวและประมาทไม่ได้ก็คือ นายณรงค์ พาทีทิน อดีต ส.อบจ.ตราด เขต อ.บ่อไร่ ที่ประกาศว่าจะทุ่มเทการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หากพ่ายแพ้ก็จะเลิกเล่นการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาตนเองไม่ได้ประมาทออกหาเสียงในพื้นที่ตลอด แต่กลัวอีกฝ่ายจะใช้ กลยุทธใต้ดินในการเลือกตั้งและใช้หัวคะแนนในการทำงานในพื้นที่มาก รวมทั้งใช้เงินทำสื่อประชาสัมพันธ์สูง
โดยในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาชนะนายณรงค์ พาทีทิน แค่ 150 คะแนน ที่ออกหาเสียงไม่มากและไม่ได้ทำสื่อเลย ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงประมาทไม่ได้ เพราะหากพ่ายแพ้จะทำให้ประชาชนเสียโอกาสกับงานที่ตนเองทำต่อไป ซึ่งหากประมาทก็คงจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งแน่ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงขยันลงพื้นที่มากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้ง