ศูนย์ข่าวศรีราชา - “สนธยา” ยันไม่ทิ้งปัญหาท้องถิ่น นำทีมงานเดินเครื่องประสานมหาดไทยแก้ไขกฎกระทรวงเกี่ยวกับสถานบริการพัทยา หลังพบว่าผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายที่เข้มงวด จนส่งผลกระทบการทำกินและสภาพเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ชี้พัทยาเมืองต้นนำแหล่งท่องเที่ยวพิเศษที่ต้องยกเว้น
วันนี้ (29 มี.ค. 51) นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงความคืบหน้าจากกรณีปัญหาที่ผู้ประกอบการสถานบันเทิงในเขตเมืองพัทยาจำนวนกว่า 1,500 รายได้รับความเดือดร้อน จากแนวนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่เพิ่มความเข้มงวดในการสั่งปิดสถานบริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด คือช่วงเวลา 02.00 น.หลังปรับเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จนทำให้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างเมืองพัทยา
เนื่องจากกรณีดังกล่าวแทนที่จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างเดียวแล้ว ยังมีผลพวงไปถึงพนักงานและอาชีพที่เกี่ยวพันที่อาจทำให้เกิดอัตราการว่างงานจำนวนกว่าหมื่นราย และยังมีผลไปถึงสภาพเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา ซึ่งรายได้หลักมาจากการให้บริการจากสถานบันเทิงเป็นส่วนใหญ่ว่ากรณีดังกล่าวในฐานะที่เคยทำงานในระดับชาติ และเป็นคนเมืองชลฯ ไม่ได้รู้สึกนิ่งนอนใจแต่อย่างใด ได้ร่วมกับทีมงานทั้งในส่วนของ อดีต ส.ส. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หารือโดยตรงไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผ่านทางเลขารัฐมนตรี ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน จนได้รับคำยืนยันว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเป็นการเร่งด่วน
อย่างไรก็ตามในระยะเวลาอันใกล้นี้จะจัดส่งทีมงานของกระทรวงลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองพัทยา เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาการแก้ไขกฎกระทรวงที่ชัดเจนต่อไป
นายสนธยา กล่าวต่อไปว่าจากความที่เมืองพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวพิเศษ และถือเป็นรายได้หลักของประเทศจากการท่องเที่ยวที่สร้างมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงถือเป็นเมืองต้นน้ำที่ภาครัฐต้องให้การดูแลและใส่ใจเป็นพิเศษ อาทิ การยกเว้นข้อห้ามบางอย่าง ซึ่งก็ต้องมีการจัดทำเป็นบทเฉพาะกาลหรือการแก้ไขที่ชัดเจน ไม่ใช่พอเปลี่ยนรัฐบาลที ก็เกิดปัญหาที เพราะหากปล่อยไว้เช่นนี้คนที่ได้รับผลกระทบนอกจากจะเป็นผู้ประกอบการแล้ว ประเทศเองก็ได้รับผลไปด้วยจากรายได้การท่องเที่ยวที่ถดถอยลง ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการยอดของนักท่องเที่ยวในปี 51 นี้กว่า 16 ล้านคน และตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 8 แสนล้านบาท