กาฬสินธุ์ - ทุกข์ซ้ำกรรมซัดกระดูกหลังสันของชาติเมืองน้ำดำ หลังโจรขโมยข้าวเปลือกออกอาละวาดหนัก เผยวางแผนอย่างดี ก่อนลงมือปฏิบัติการวางยาสลบคน วางยาเบื่อสุนัขแล้วเข้าไปฉกข้าวเปลือกในยุ้งฉางชาวบ้านหายเกลี้ยงไม่กี่นาที ประธาน อบต.บัวบานสุดทนตำรวจพื้นที่ทำงานอืดปล่อยคนร้ายหายเข้ากลีบเมฆ จูงแขนชาวบ้านร้องสื่อตีแพร่ให้ชาวบ้านระมัดระวังตัวมากขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่า ด.ต.อุฤทธิ์ ภูโอบ ประธานสภา อบต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ได้พานายบุญช่วย ภูมีสี อายุ 78 ปี อยู่บ้านเลขที่ 103 บ้านดอนอุดม หมู่ 17, นายสมร อาสาคติ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65 บ้านตูม หมู่ 19 และนางสิ่ง ภูทองเป้ง อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 195 บ้านโนนแดง หมู่ 20 ทั้งหมดอาศัยอยู่ใน ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากโจรขโมยข้าวเปลือก ได้นำข้อมูลเข้าร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นสื่อกลางเผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการเก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางของตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมามีโจรออกขโมยข้าวแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ไม่สามารถที่จะจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้สักราย
ด.ต.อุฤทธิ์ ภูโอบ ประธานสภา อบต.บัวบาน กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการโจรกรรมข้าวเปลือกเกิดขึ้นในพื้นที่ ต.บัวบานหลายครั้ง ทำให้ชาวบ้าน ซึ่งมีอาชีพทำนาและมีฐานะยากจนเดือดร้อนไม่น้อยกว่า 10 ราย เพราะแต่ละรายถูกโจรขโมยข้าวเปลือกไม่น้อยกว่า 100 ถัง เสียหายรายละประมาณ 10,000 บาท หากรวม 10 ราย จะเกิดความเสียหายไม่น้อยกว่า 100,000 บาท
ด.ต.อุฤทธิ์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมของแก๊งโจรขโมยข้าวที่กำลังก่อสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านอยู่ในขณะนี้ มักจะเลือกเป้าหมายที่เป็นบ้านที่ตั้งอยู่นอกหมู่บ้าน ห่างจากเพื่อนบ้าน หรือติดถนน ซึ่งที่สะดวกต่อเข้าไปขโมย โดยก่อนลงมือคนร้ายจะมีการตระเวนดูลู่ทางในการหลบหนีในช่วงเวลากลางวัน
จากนั้นจะลงมือในเวลากลางคืน ลงมือไม่น้อยกว่า 5-6 คน เพราะสามารถขนข้าวเปลือกไปโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที และที่สำคัญก่อนลงมือบางครั้งคนร้ายจะวางยาเบื่อสุนัข หรือหากบ้านหลังใด มีเจ้าของอยู่เฝ้า ก็จะการรมควันยาสลบเจ้าของบ้านด้วย เพื่อง่ายต่อการขโมย
โดยเฉพาะ 2 รายล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของตำรวจท้องที่ยศ ด.ต.นายหนึ่ง มีบ้านอยู่ห่างกันไม่ถึง 30 เมตร ก็ถูกแก๊งโจรกรรมข้าวเปลือกไปจนเกือบหมด โดยอย่างไม่ยำเกรงว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใกล้ๆ
ด.ต.อุฤทธิ์ กล่าวอีกว่า นับวันแก๊งโจรกรรมข้าวเลือกยิ่งก่อความเดือดร้อนและกระทำการอุกอาจอย่างโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ซ้ำยังท้าทายผู้รักษากฎหมายอีกด้วยเพราะนายสมรก็เป็นพี่ชายผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้แต่นางสิ่งและนางบุญเพ็งก็เป็นเพื่อบ้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โจรยังกล้าและสามารถหลบหนีอย่างลอยนวลด้วย ถึงแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่คือ สภ.นากุง ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด จะบอกว่ากำลังดำเนินการสืบจับคนร้ายก็อยู่ตาม
แต่ความเดือดร้อนก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีชาวบ้านได้รับความเสียหายจากการถูกโจรกรรมข้าวอยู่เช่นเดิม จึงต้องบอกความเดือดร้อนผ่านสื่อเพื่อให้ชาวบ้านทั่วไปได้เพิ่มความระมัดระวังข้าวที่เป็นทรัพย์สินอันมีค่าของตนให้ดี เพื่อที่จะไม่ให้แก๊งขโมยข้าวเปลือกมาลักขโมยอีก
นางสิ่ง ภูทองเป้ง กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณเที่ยงคืนได้ยินเสียงดังผิดปกติที่บริเวณยุ้งฉางที่เก็บข้าวเปลือก อยู่ห่างจากตัวบ้านประมาณ 10 เมตร แต่พอจะลุกไปดูกลับรู้สึกมึนงง มึนหัว จากนั้นก็สลบไป แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาจึงได้เห็นความผิดปกติที่ยุ้งฉาง คือประตูถูกงัดเสียหายและข้าวเปลือกในยุ้งฉางที่เคยมีอยู่ประมาณ 300 ถังได้ถูกตักหายไปประมาณ 100 ถัง
สอบถามเพื่อนบ้านก็ทราบว่านางบุญเพ็ง ภูทองเป้ง น้องสาวที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันได้ถูกคนร้ายงัดประตูบ้านและหน้าต่างเข้าไปขนข้าวเลือกที่เก็บอยู่ในบ้านไป 60 ถุง หรือประมาณ 180 ถัง
ขณะที่นายบุญช่วย ภูมีสี ผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง กล่าวว่า ปกติตนเป็นคนรู้สึกตัวเร็วมาก ส่วนสุนัขที่เลี้ยงไว้ก็จะเห่าหอนหากมีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แต่ในคืนเกิดเหตุตนกลับไม่รู้สึก สุนัขก็ไม่เห่า จนกระทั่งรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาเห็นสุนัขนอนตายอยู่หน้าบ้านเพราะถูกวางยาเบื่อ เดินไปดูยุ้งฉางที่อยู่ข้างบ้านก็พบว่าข้าวหายไปกว่า 250 ถัง
หลังเกิดเหตุได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้เดินทางเข้าตรวจสอบ จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปและไม่สามารถจับกลุ่มโจรดังกล่าวได้ จึงอยากฝากไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนด้วย เพราะเป็นความเดือดร้อนของชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ
ด้าน พล.ต.ต.พิสัณห์ อาวีกร วรเทพนิตินันท์ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ได้รับทราบปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร ที่ถูกแก๊งโจรกรรมข้าวอาละวาดแล้ว เบื้องต้นได้กำชับให้สถานีตำรวจท้องที่ทั้ง 23 สถานี โดยเฉพาะท้องที่ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ออกตรวจเข้มงวดกวดขันในการเฝ้าระวัง โดยให้ตั้งเครือข่ายเพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่
ตลอดจนมีการลาดตระเวนและจัดตั้งเวรยามประจำหมู่บ้าน เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าวในระยะยาว ที่สำคัญคือชาวบ้านทุกหมู่บ้านจะต้องเป็นหูเป็นตาและแจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย