ศูนย์ข่าวขอนแก่น – รองผู้การฯ ขอนแก่น เผยไม่กล้าฟันธงสมาชิกเครือข่ายต้านคอร์รัปชัน-ยามเฝ้าแผ่นดิน “กมล เหล่าโสภาพันธ์” นักเคลื่อนไหวคัดค้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องในพื้นที่ อ.บ้านไผ่ จะเป็นหรือตายหลังหายตัวไปนานนับเดือน ชี้ญาติต้องระบุผู้ต้องสงสัย เพื่อส่งลายมือเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือที่ตรวจพบในรถยนต์ของนายกมลที่พบหลังการหายตัวไป ซึ่งจะเป็นเบาะแสสำคัญในการตามตัวนายกมล ขณะที่น้องชายเปิดบันทึก เตรียมแจ้งความตำรวจก่อนล่องหน
ผ่านไปแล้วกว่า 1 เดือน สำหรับการหายตัวไปของนายกมล เหล่าโสภาพันธ์ นักเคลื่อนไหวคัดค้านตรวจสอบข้อมูลทุจริตมิชอบในหน่วยงานราชการ ในพื้นที่อำเภอบ้านไผ่ ซึ่งหายตัวไปตั้งแต่คืนวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 ขณะอยู่ในพื้นที่ สภ.บ้านไผ่ เพื่อติดตามคดีที่ได้ยื่นแจ้งกล่าวหาเจ้าพนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีที่แจ้งความการก่อสร้างอาคารพาณิชย์บนที่ดินการรถไฟ โดยนายกมลเห็นว่ามีการกระทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และยังมีความไม่โปร่งใสหลายอย่าง
จนนำมาซึ่งการร้องเรียนหลายคดี เกี่ยวโยงทั้งผู้รับเหมา เจ้าพนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทุกคดีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารพาณิชย์บนที่ดินรถไฟนี้ ทางญาติเชื่อว่าน่าจะเป็นมูลเหตุในการหายตัวไปของนายกมล
ล่าสุดวันนี้ (10 มี.ค.) พ.ต.อ.ฉลอง ภาคย์ภิญโญ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น รับผิดชอบติดตามคดีการหายตัวไปของนายกมล เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเบาะแสใดที่จะเป็นแรงจูงใจสำคัญนำไปสู่การสืบหาตัวนายกมลได้ เนื่องจากนายกมลได้แจ้งความกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐ ไว้รวม 11 คดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่สามารถเจาะจงที่คดีใดคดีหนึ่งได้
ส่วนปมการหายตัวไปของนายกมล ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ชี้ลงไปที่ประเด็นใดเป็นพิเศษ แต่ได้ตัดประเด็นชู้สาวออกไปแล้ว เหลือประเด็นความขัดแย้งจากคู่กรณี ซึ่งมีอยู่หลายคดี และประเด็นส่วนตัว โดยจากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่านายกมลเคยเล่นการพนันที่ปอยเปต ซึ่งจะเกี่ยวข้องหรือไม่ต้องตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป
ในส่วนความขัดแย้งกับคู่กรณี ก็ต้องสืบสวนในเชิงลึกเช่นกัน ว่าจะมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดที่จะมีศักยภาพในการอุ้มตัวนายกมลไปหรือไม่ ซึ่งตำรวจไม่กล้าฟันธงว่านายกมลยังมีชีวิตอยู่ หรือเสียชีวิตแล้ว ต้องอาศัยหลักนิติวิทยาศาสตร์เท่านั้น
ทั้งนี้ หากญาติสามารถระบุผู้ต้องสงสัยได้ ก็จะได้นำลายนิ้วมือไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือที่เจ้าหน้าที่กองวิทยาการได้ตรวจพิสูจน์ จากภายในและภายนอกรถยนต์ของนายกมล ที่จอดอยู่ในโรงพยาบาลสิรินธร อ.บ้านแฮด ซึ่งจากการสอบปากคำพยานที่พบ รถยนต์คันดังกล่าวมาจอดทิ้งไว้ ปรากฏว่าเป็นช่วงเวลาสอดคล้องกับที่นายกมลหายไป แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่านายกมลมาจอดไว้เองหรือไม่ หรือมีผู้ใดนำมาจอด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังติดตามหาข่าวจากทุกทาง
ด้านนายประเสริฐ เหล่าโสภาพันธ์ น้องชายนายกมล กล่าวถึงพี่ชายที่หายตัวไปว่า นาย กมลประกอบอาชีพค้าขาย เป็นชาวอำเภอบ้านไผ่ ทำงานร่วมกับเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชันกับนายวีระ สมความคิด และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน และยังได้สมัครเป็นสมาชิกยามเฝ้าแผ่นดิน บุคลิกนายกมลครอบครัว ญาติ และเพื่อนบ้านต่างทราบว่าเป็นคนพูดจาเสียงดัง แต่จะพูดอย่างมีหลักการ หากเห็นการกระทำใดๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ไม่ถูกต้องจะขอตรวจสอบทันที จนทำให้นายกมลมีคดีแจ้งความกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 10 คดี
ส่วนประเด็นสงสัยที่ตำรวจกล่าวถึงเรื่องส่วนตัวนายกมล นายประเสริฐ ยอมรับว่านายกมลเคยไปปอยเปตจริง ตั้งแต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน และไม่เคยไปอีกเลย พร้อมยืนยันว่ากมลไม่ได้มีพฤติกรรมติดการพนันอย่างที่เจ้าหน้าที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็น
ทั้งนี้ตั้งแต่นายกมลหายตัวไปนานกว่า 1 เดือน ครอบครัวและญาติต่างเฝ้าติดตามข่าวนายกมลด้วยความกังวลใจ ในส่วนเรื่องคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนายกมล ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามกฎหมายต่อไป แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่านายกมลจะหายตัวไปอย่างไร ทางครอบครัวหวังให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามหาตัวนายกมลให้พบโดยเร็วที่สุดเท่านั้น ไม่ว่านายกมลจะมีชีวิตอยู่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่พบพี่ชาย ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน ตนและญาติฯจะเฝ้าติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไปอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ล่วงเลยเกิน 1 เดือนไปแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะพบนายกมล และในเร็วๆวันนี้จะพาเมียและลูกของพี่ชายไปตามความคืบหน้าจากตำรวจภาค 4 และผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นด้วยตัวเอง จะไปเล่าให้ฟังว่าการที่คนในครอบครัวหายตัวไปไม่รู้จะเป็นหรือตายนั้นมันทรมานแค่ไหน
ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเร่งค้นหาหลักฐานการหายตัวของนายกมลให้เจอ เชื่อว่าหากทำงานกันจริงๆจังๆน่าจะมีความคืบหน้าอะไรบ้าง
นายประเสริฐเล่าว่าในคืนวันที่ 7 คืนที่นายกมลหายตัวไปนั้นและอยู่ที่สภ.บ้านไผ่ เวลาประมาณ 5ทุ่มกว่านายกมลได้โทรศัพท์เข้ามือถือลูกชาย แต่ไม่มีคนรับสาย ลูกชายอาบน้ำอยู่ไม่ได้ยินเพราะตั้งระบบสั่นสะเทือนไว้ โดยโทรเข้าติดต่อกัน2 -3 ครั้ง ทางญาติเชื่อว่านายกมลน่าจะต้องการสื่อสารอะไรสักอย่างที่เป็นการขอความช่วยเหลือ ไม่มีเหตุผลมากพอที่จะโทรเข้ามือถือลูกชายด้วยมูลเหตุอื่น
“ตอนห้าทุ่มลูกชายเพิ่งโทรศัพท์หาพ่อถามว่าจะกลับบ้านหรือยัง นายกมลตอบลูกชายว่าธุระยังไม่เสร็จ เสร็จแล้วจะรีบกลับ ดังนั้นการโทรเข้ามือถือลูกชายในเวลาห่างจากนั้นไม่นานนักต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เสียดายที่ลูกชายไม่ได้รับ ไม่เช่นนั้นอาจมีเบาะแสหรือข้อมูลการหายตัวไปของนายกมลชัดเจนมากกว่านี้”นายประเสริฐกล่าวและระบุต่อว่า
สำหรับข้อสันนิษฐานที่รองผู้การฯขอนแก่นระบุว่าการหายตัวไปของนายกมลอาจมาจากพฤติกรรมส่วนตัว โดยอ้างถึงการเดินทางไปยังปอยเปต อรัญประเทศว่า ไม่อยากให้เบี่ยงเบนประเด็นออกไปไกลขนาดนั้น และขอปฏิเสธว่าพี่ชายไม่ได้ติดการพนัน อาจจะเคยไปบ้างครั้ง-2 ครั้งเมื่อ 5 ปีก่อนเป็นการไปท่องเที่ยวมากกว่า
เปิดบันทึกก่อน “กมล” ถูกอุ้ม
นายประเสริฐ เล่าอีกว่า ภรรยานายกมลยืนยันว่านายกมลบอกก่อนออกจากบ้านในเวลาราว 1 ทุ่มวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 ว่าจะไปแจ้งความเอาผิดผู้กำกับ สภ.บ้านไผ่ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานประจำวันเมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 25 51 ที่ร้อยเวรรับแจ้งความร้องทุกข์ได้บันทึกไว้ โดยในบันทึกฉบับดังกล่าวระบุว่า
นายกมล เหล่าโสภาพันธ์ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่210-211 หมู่ 2 ถ.อำมาตย์ ต.ในเมือง อ.บ้านไผ่ จว.ขอนแก่น แจ้งว่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 51 เวลา 08.15 น.ผู้แจ้งได้ยื่นหนังสือเรื่องให้ยึดเอกสารของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นการด่วน ถึง ผกก.บ้านไผ่ กรณีที่มีแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนายวิชัย วิพัฒน์เกษมสุข ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานบิดบังซ่อนเร้นฯซึ่งเอกสารต่างๆ ตาม ปอ.ม.158 ซึ่งประสงค์ให้ผกก.สั่งการให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทำการตรวจยึดเอกสารของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิดมาเก็บรักษาไว้ที่ สภ.บ้านไผ่ เพื่อไม่ให้เสียรูปคดี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษในข้อหาอื่นอีกจำนวนมาก เกรงว่าจะมีการแก้ไขทำลาย และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายหากถึงเวลา 16.30 น.ของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551ไม่ทำการตรวจยึดเอกสารดังกล่าวมาเก็บไว้ที่สภ.บ้านไผ่ จะขอดำเนินคดีกับผกก.สภ.บ้านไผ่ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
นายประเสริฐกล่าวย้ำว่า นายกมลพี่ชายเป็นคนที่ตรงมาก ไม่เกรงกลัวใคร แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเพราะเชื่อว่าสังคมจะสงบสุขหากคนในสังคมไม่เอารัดเอาเปรียบกันเอง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริตและพร้อมปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ โดยจะเห็นได้จากหนังสือบันทึกที่ส่งถึง ผู้กำกับการ สภ.บ้านไผ่ พ.ต.อ.เนติพงศ์ ธาตุทำเล ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551 ในบันทึกระบุว่าจากการที่ตนได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษหรือกล่าวหาที่ สภ.บ้านไผ่ กรณีเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต ประพฤติมิชอบ ละเว้นฯและฝ่าฝืนกฎหมายต่อเนื่องจำนวนหลายคดีหลายข้อหานั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ช่วงกลางวัน ตนได้รับทราบจากท่าน(พ.ต.ท.เนติพงศ์) ทางโทรศัพท์ว่าได้มีพนักงานสอบสวนที่เป็นเจ้าของคดี มีความหนักใจอย่างมากในการปฏิบัติหน้าที่ฯในคดีที่ตนแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ จึงขอเรียนให้ทราบว่าหากท่านหรือพนักงานสอบสวนท่านใด ไม่ประสงค์ทำหน้าที่ในฐานะผู้รักษากฎหมายที่ดี ตนก็ไม่บังคับ หากมีปัญหาใดขอให้เปิดอกพูดกันอย่างลูกผู้ชาย มิฉะนั้นแล้ว ความเสียหายจะตกกับประเทศชาติ
นั่นแสดงให้เห็นว่าต้องมีบางสิ่งบางอย่างครอบงำไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จนถึงทำให้ตำรวจกลัวได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ขอเพียงทุกท่านยึดมั่นในความถูกต้องเป็นธรรม ทำหน้าที่ให้สมกับที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทุกท่านไม่ควรหวั่นไหวและตนจะเดินหน้าต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากท่านในฐานะผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ และรับเงินจากเงินภาษีประชาชน
ทั้งนี้ หากท่านใดไม่อยากจะรับแจ้งความหรือไม่เต็มใจในการต้องทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนฯก็ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกหรือย้ายไปอยู่ท้องที่อื่น ที่คิดว่างานไม่หนัก ที่ที่มีแต่คดีอุบัติเหตุฯคดีทะเลาะวิวาท คดีการพนันต่างๆ เช่น หวยใต้ดิน เป็นเจ้ามือโต๊ะพนันฟุตบอล คดียาเสพติดฯเป็นต้น
“เรื่องใดก็ตามที่พี่ชายผมเห็นว่าไม่ถูกไม่ควรแกจะกัดไม่ปล่อย จะเห็นได้ว่ามีคดีความมากถึง 10 คดีที่แกร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าพนักงานของรัฐที่แกมองว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ และในช่วงก่อนที่จะหายตัวไปวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พี่ชายผมเดินขึ้นโรงพักบ้านไผ่ถี่มากเพื่อตามความคืบหน้าคดีความ และในบันทึกการใช้โทรศัพท์มือถือเมื่อเวลา 12.59.น.พี่ชายผมโทรคุยกับผู้กำกับบ้านไผ่นานถึง 31 นาที ตามที่มีการอ้างในหนังสือบันทึกที่ทำถึงผู้กำกับ สภ.บ้านไผ่เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์เดือนเดียวกันนี้”นายประเสริฐกล่าว
นายกมล เหล่าโสภาพันธ์ ประกอบอาชีพค้าขาย ญาติกล่าวว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอราคาเพื่อสร้างอาคารพาณิชย์แต่อย่างใด บุคลิกนายกมลเป็นคนตรงไปตรงมา จะติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมาโดยตลอด โดย นายกมล เป็นเพื่อนเรียนร่วมรุ่นกับ นายวีระ สมความคิด และยังสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายต้านคอร์รัปชัน ที่ นายวีระ เป็นแกนนำ นายกมลจะคอยตรวจสอบพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมของข้าราชการของรัฐ ตลอดจนจะต่อต้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องของทุกคน ทุกองค์กร โดยไม่เกรงกลัวอันตราย
จนกระทั่ง ล่าสุด ได้ติดตามคดีความไม่โปร่งใสในการเช่าที่ดินรถไฟสถานีบ้านไผ่ เพื่อสร้างอาคารพาณิชย์ดังกล่าว ซึ่งญาติเชื่อว่าน่าจะเป็นมูลเหตุสำคัญของการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของนายกมล ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551