xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกายกฟ้อง “ประสงค์” ข้อหาหมิ่นประมาทอดีตนายกฯทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กาฬสินธุ์- ศาลฎีกายกฟ้อง “ประสงค์ สุ่นศิริ” คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า คดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องหมิ่นประมาท ความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์แล้ว หลังจากที่ต้องสู้คดีถึงศาลฎีกานานกว่า 2 ปี

วันนี้ (18 ก.พ.) เวลา 10.00 น.ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ห้องพิจารณาคดีบัลลังก์ 1 ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีหมิ่นประมาทความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้มอบอำนาจให้ นายสมบูรณ์ คุปติมนัส เป็นโจทก์ดำเนินคดีฟ้อง กับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ผู้เขียนผู้ประพันธ์ ในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด” ในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้า ที่ได้ลงพิมพ์ข้อความในหนังสือพิมพ์รายวัน แนวหน้า ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2543 โดยพาดหัวในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด” ว่า สัตว์มิได้เลวกว่ามนุษย์เสมอไป ในการพิจารณาคดี

ตามฟ้องโจทก์โดยสรุป ศาลฎีกา ได้อ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตัดสิน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2549 ระบุว่า ความผิดพวกจำเลย ประกอบด้วย นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ จำเลยที่ 1 บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด จำเลยที่ 2 นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ จำเลยที่ 3 และ นายเสนอ ถนัดสอน จำเลยที่ 4 ร่วมกันดูหมิ่นและหมิ่นประมาทใส่ความผู้เสียหาย ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2485 มาตรา 4, 48 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 50,000 บาท

แต่เนื่องจาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ จำเลยที่ 1 ประกอบคุณงามความดีมาโดยตลอด และกระทำความผิดเป็นครั้งแรก จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา ขณะที่จำเลยที่ 2 และ 3 ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลได้จำหน่ายคดีเนื่องจากมีพฤติกรรมหลบหนี

แต่เนื่องจาก นต.ประสงค์ สุ่นศิริ ให้การปฏิเสธ ยังศาลอุทธรณ์ กับโจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาจึงได้ดำเนินการตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2และที่ 3 ให้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาซึ่งฟังความโดยสรุปตามหนังสือพิมพ์เอกสารหมาย จ.5 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า

การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทดังคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ข้อความที่ว่า ฟัง คุณทักษิณ ชินวัตร พูดอบรมลูกพรรคของตนมีความตอนหนึ่งว่า “คนในพรรคของผมใครไม่มีสตางค์ให้มาขอที่ผม อย่าโกงประเทศชาติมันทุเรศ คนที่ทุจริตคอร์รัปชันถือว่าเลวยิ่งกว่าสัตว์”

ดิฉันจึงขอร้องคุณทักษิณ ว่า จงอย่าเทียบคนชั่วคนทุจริตว่าเลวกว่าสัตว์เลย เพราะสัตว์บางชนิด เช่น หมาของดิฉันมันดีกว่าคนจำพวกที่คุณทักษิณเอ่ยถึง และมันก็ดีมีคุณค่ากว่าพวกเศรษฐีบางคนที่เคยทำธุรกิจแล้วให้เงินใต้โต๊ะนักการเมือง หรือเศรษฐีบางคนที่ใจดำโหดร้ายขูดรีดประชาชนเสียอีก เป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลทั่วไปโดยการโฆษณา ทำให้บุคคลทั่วไปเมื่ออ่านข้อความดังกล่าวแล้วเข้าในว่าโจทก์เป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจโดยให้เงินใต้โต๊ะต่อนักการเมือง และเป็นผู้มีจิตในโหดร้ายทำธุรกิจขูดรีดประชาชน

อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังได้เขียนบทความใส่ความโจทก์อีกว่า กว้านซื้อคนของคนอื่นด้วยเงินจำนวนมาก เพื่อให้มาอยู่กับตนในการแสวงหาอำนาจก็เป็นเครื่องวัดความดีความเลวและผู้ประพฤติอย่างนี้ว่าเป็นอย่างไรด้วย ซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์จัดตั้งพรรคไทยรักไทยโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้า และสมาชิกพรรคที่เข้ามาในพรรคไทยรักไทยก็ด้วยเจตจำนงที่จะร่วมกันพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้น นโยบายของพรรคสามารถที่จะช่วยเหลือสังคมไทยได้

บุคคลเหล่านั้นจึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคโดยมิได้ถูกซื้อตัว แนวนโยบายพรรคไทยรักไทย และการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคจะต้องดำเนินการตามที่พรรคไทยรักไทยจดทะเบียนเอาไว้ บทความตามเอกสารหมาย จ.5 แม้ไม่ได้ระบุชื่อโจทก์โดยตรงแต่ผู้ที่ติดตามอ่านหนังสือพิมพ์และตามเรื่องทางสังคมเมื่ออ่านบทความของจำเลยที่ 1 แล้วจะเข้าใจว่าเป็นการเจาะจงกล่าวถึงโจทก์โดยตรง

เนื่องจากระหว่างนั้นเรื่องการโอนหุ้นให้บุตร ให้คนรถ คนใช้ และคนยาม อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากนี้ ในคอลัมน์ยังระบุชื่อบุคคล โดยเฉพาะเจาะจงเพียงชื่อเดียว คือ โจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังจากบุคคลที่สามที่อ่านหนังสือพิมพ์คอลัมน์ดังกล่าว

จำเลยที่ 1 นำสืบว่า บทความของจำเลยที่ 1 ในเอกสารหมาย จ.5 เป็นจดหมายซึ่งผู้อ่านที่ใช้นามว่า ดวงตา ส่งมา อีกส่วนหนึ่งเป็นบทความที่จำเลยที่ 1 แสดงความคิดเห็น ข้อความในจดหมายเป็นการแสดงความคิดความเห็นของผู้อ่านในฐานะที่เป็นประชาชน มีสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อีกทั้งเป็นการแสดงความคิดเป็นโดยสุจริตมิได้ประสงค์จะหมิ่นประมาทโจทก์ จึงนำลงมาพิมพ์เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

เนื่องจากผู้อ่านกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่า “คนในพรรคของผมใครไม่มีสตางค์ให้มาขอที่ผม อย่าโกงประเทศชาติ มันทุเรศ คนที่ทุจริต คอร์รัปชันถือว่าเลวยิ่งกว่าสัตว์ ผู้อ่านเห็นว่าโจทก์ไม่ควรที่จะนำคนทุจริตคอร์รัปชันไปเปรียบเทียบกับสัตว์ เนื่องจากผู้อ่านเป็นผู้รักสัตว์ มีความเมตตาต่อสัตว์และเห็นว่าสัตว์ยังมีคุณประโยชน์ต่อโลกอยู่มาก

อีกทั้งสัตว์ยังมีความซื่อสัตย์ต่อผู้อ่าน เมื่อโจทก์นำบุคคล ที่ทุจริตไปเปรียบเทียบกับสัตว์ดังกล่าวทำให้ผู้อ่านมีความเห็นว่าไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ข้อความของผู้อ่านที่ว่า “ดิฉันจึงขอร้องคุณทักษิณว่าจงอย่าเทียบคนทุจริตว่าเลวกว่าสัตว์เลย เพราะสัตว์บางชนิดเช่นหมาของดิฉันดีกว่าคนจำพวกที่คุณทักษิณเอ่ย และมันก็ดีมีคุณค่ากว่าพวกเศรษฐีบางคนที่เคยทำธุรกิจแล้วให้เงินใต้โต๊ะนักการเมือง หรือเศรษฐีบางคนที่ใจดำโหดร้ายขูดรีดประชาชนเสียอีก”

เป็นการแสดงความรู้สึก ความคิด ความเห็น ไม่ให้โจทก์เอาคนชั่วมาเปรียบเทียบว่าเลวกว่าสัตว์ เพราะสัตว์บางพวกมีความซื่อสัตย์มีคุณประโยชน์โดยยกตัวอย่างหมาของผู้อ่าน จึงเขียนข้อความดังกล่าวเพื่อเป็นการขอร้องไม่ให้โจทก์พูดถึง และนำคนทุจริตมาเปรียบเทียบว่าเลวยิ่งกว่าสัตว์ ส่วนข้อความที่ว่า

“และมันก็ดีมีคุณค่ากว่าพวกเศรษฐีบางคนที่เคยทำธุรกิจแล้วให้เงินใต้โต๊ะนักการเมืองหรือเศรษฐีบางคนที่ใจดำโหดร้ายขูดรีดประชาชนเสียอีก” ก็ไม่ได้ระบุชื่อว่าหมายถึงผู้ใด ใครเป็นผู้กระทำ บุคคลทั่วไปเมื่ออ่านข้อความดังกล่าวแล้วก็จะเข้าใจได้ว่าไม่ได้เป็นการเขียนเฉพาะเจาะจงหมายถึงผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นเรื่องของการกระทำทั่วไป บทความของผู้อ่านจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นตามสิทธิเสรีภาพโดยชอบ

ส่วนบทความที่จำเลยที่ 1 เขียนเป็นการแสดงความคิดเห็นต่อจดหมายของผู้อ่านสารสำคัญ เป็นการแสดงความคิดความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้อ่าน โดยเห็นว่าสัตว์ทำประโยชน์ต่อมนุษย์มากมายและมีหลายประเภทที่ซื้อสัตย์ต่อเจ้าของ โดยจำเลยที่ 1 เลี้ยงสุนัขมาเป็นเวลาถึง 15 ปี มีความรักสุนัขซึ่งเป็นความรู้สึกตรงกับผู้อ่าน และที่เขียนบทความนั้นก็มุ่งประสงค์ให้ผู้อ่านบทความได้เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่มีความรักความเมตตาต่อสัตว์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ยกหลักธรรมในพุทธศาสนาที่สอนให้คนรู้จักเมตตาต่อกัน ละอายและเกรงกลัวต่อบาป ให้ทุกคนมีธรรมะ วัฒนธรรมและศีลธรรม เพื่อเป็นเครื่องค้ำจุนจิตใจ ทั้งนี้ หากผู้ใดไม่มีธรรมก็ไม่ใช่คนดี เพราะคนดีจะต้องมีหลักธรรมเป็นที่ยึดถือ

ส่วนข้อความที่ว่าตั้งบริษัทหลอกๆ ขึ้นมาให้เงินไหลไปกองที่นั่นที่นี่ เพื่อให้เห็นว่าตัวเองมีไม่เท่าไรก็เป็นเครื่องวัดความดีและความเลวของผู้กระทำอย่างนั้นว่าเป็นอย่างไร กว้านซื้อคนของคนอื่นด้วยเงินจำนวนมาก เพื่อให้มาอยู่กับตนในการแสดงหาอำนาจก็เป็นเครื่องมือวัดความดีความเลว ข้อความนี้ จำเลยที่ 1 เขียนขึ้นโดยมีความคิดความเห็นเช่นเดียวกับข้อความที่เขียนในส่วนการโอนหุ้น อีกทั้งเป็นการชี้ให้เห็นว่า ใครก็ตามที่กระทำการอย่างข้อความที่เขียนนั้นย่อมเป็นคนที่ไม่ดี

แต่ผู้ที่จะพิจารณาว่าการกระทำตามข้อความที่จำเลยที่ 1 เขียนนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่คือผู้อ่านข้อความ ทั้งนี้ ผู้ที่อ่านข้อความในบทความตามเอกสารหมาย จ.5 ทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ได้กล่าวหรือหมายถึงโจทก์หรือบุคคลที่บุคคลใดโดยเฉพาะ แต่เป็นบทความที่เขียนโดยสุจริต เป็นการชี้แนะให้ผู้ที่อย่าจะดำรงตนและดำเนินชีวิตที่ดีควรทำอย่างไร เพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทั่วไป ทั้งเป็นการสอนให้ผู่อ่านกระทำความดีโดยไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงใคร

พิเคราะห์ เห็นว่า การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามจนทำให้ผู้นั้นต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 นั้นจะต้องได้ความว่าการใส่ความดังกล่าวได้ระบุถึงตัวผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันแน่นอน หรือหากไม่ระบุถึงผู้ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ บทความเรื่องสัตว์มิได้เลวกว่ามนุษย์เสมอไป

จำเลยที่ 1 มิได้กล่าวยืนยันข้อเท็จจริงว่า การกระทำที่เป็นเครื่องวัดความดีความเลวที่ยกมานั้นเป็นการกระทำของผู้ใด และไม่มีข้อความใดที่บ่งชี้ได้ว่าเป็นการกระทำของโจทก์ นายสมบูรณ์ คุปติมนัส พยานโจทก์ ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่าโจทก์โอนหุ้นให้เฉพาะบุตรและเป็นการโอนที่ชอบด้วยกฏหมาย และนายสมบูรณ์ เบิกความตอบคำถามค้ารับว่า ในสังคมธุรกิจและการถือหุ้น จะมีการดำเนินธุรกิจและการถือหุ้นที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่บ้าง

แต่พยานไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ข้อความในบทความของจำเลยที่ 1 ส่วนที่แสดงความเห็นตอบผู้อ่าน หาได้กล่าวโดยตรงหรือยืนยันข้อเท็จจริงให้เข้าใจว่าการกระทำที่เป็นเครื่องวัดความดีความเลวของมนุษย์ดังกล่าวเป็นการกระทำของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น



กำลังโหลดความคิดเห็น