xs
xsm
sm
md
lg

แนวโน้มอสังหาฯ ชล-ระยอง ปี 51 ยังโตสวนกระแส เผยมูลค่าขาย ม.ค.ถึงแสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี ระยอง ยังเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจของประเทศ โดยพบว่าหลายพื้นที่โดยเฉพาะในแหล่งที่มีนิคมอุตสาหกรรมมีการเติบโตของโครงการบ้านจัดสรรอย่างต่อเนื่อง

การจัดสัมมนาในหัวข้อ “อสังหาริมทรัพย์ จังหวัดชลบุรี-ระยอง” โดย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษา : ประเมินค่าทรัพย์สินและศูนย์วิจัยอสังหาริมทรัพย์ไทย เพื่อสรุปสถานการณ์การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองในปี 2550 และนำผลการศึกษาและสำรวจตลาดในช่วงเดือนแรกของปี 2551 เพื่อนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนทั้งในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยอง ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมจอมเทียน ปาล์ม บีช (พัทยา) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 มีผลการสำรวจที่น่าสนใจ โดยพบว่าการขยายตัวทางการลงทุนด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยองตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันมีทิศทางเติบโตที่สวนกระแสเศรษฐกิจของประเทศ

โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษา : ประเมินค่าทรัพย์สินและศูนย์วิจัยอสังหาริม ทรัพย์ไทย เผยถึงการสำรวจทำเลทองที่น่าสนใจและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในจัง หวัดชลบุรีและระยองพบว่ามี 12 ทำเล คือ จังหวัดชลบุรี ประกอบด้วยอำเภอเมือง บางแสน ศรีราชา บ่อวิน พัทยา บางละมุง สัตหีบ ส่วนระยอง คือ บ้านฉาง พลา เมืองระยอง แกลง ทับมา และจากการสำรวจในเดือนมกราคม 2551 พบว่า มีโครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายและขึ้นใหม่ใน 2 จังหวัดมากถึง 400 โครงการ และมีจำนวนหน่วยมากถึง 4.8 หมื่นยูนิต นับเป็นการลงทุนในเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร และ 4 ใน 5 ของจำนวนทั้งหมดอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ขณะที่มูลค่าการขายในเดือนมกราคม 2551 ของทั้งสองจังหวัดมีตัวเลขอยู่ที่ 1.13 แสนล้านบาท น้อยลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ได้ประมาณ 1.83 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้มูลค่าการขายในเดือนแรกของปี 2551 น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นเพราะบางส่วนเป็นโครงการที่ขายไม่ออกจากปีที่แล้ว โดยภาพรวมการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดชลบุรีและระยอง นับจากปี 2537 เป็นต้นมานับเป็นการลงทุนที่ถือได้ว่าเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ 2 จังหวัดนี้และจังหวัดในภาคตะวันออกเป็นเมืองท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม โดยการขยายตัวของบ้านจัดสรรจะอยู่ในพื้นที่ที่มีนิคมอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ

“ตั้งแต่ปี 2000-2006 อัตราเติบโตทางการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดระยอง และชลบุรี มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 9-15% ขณะที่การเติบโตด้านที่ดินมีไม่น้อยกว่า 10% สวนกระแสการเติบโตทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศที่มีภาพเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่เพียง 4-5% เท่านั้น ทั้งนี้ เห็นได้จากภาวะการลงทุนและการขยายตัวทางความต้องการที่อยู่อาศัยของจังหวัดในภาคตะวันออกจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ประเทศจะอยู่ในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจก็ตาม” ดร.โสภณ กล่าว

ขณะที่ นายไพศาล บัณฑิตยานนท์ ที่ปรึกษาด้านการวางแผนและการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และกรรมการผู้จัดการ บจก.แรบบิท รีสอร์ท เผยถึงข้อมูลด้านการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเมืองพัทยา ว่า ปัจจุบันปัญหาเรื่อง พ.ร.บ.การครอบครองที่ทำกินของชาวต่างชาติและปัญหานอมินีถือครองสิทธิต่างๆ ยังคงมีอยู่ จึงทำให้ดัชนีด้านความมั่นใจในการลงทุนของชาวต่างชาติลดลงและส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับสูงที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จำต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งปัญหาทางการเมืองของประเทศที่ยังไม่นิ่งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ฉุดความคึกคักของตลาดที่อยู่อาศัยในพัทยาและภาคตะวันออกในปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันการเมืองที่มีความแน่นอน ทำดึงความคึกคักของตลาดให้กระเตื้องขึ้นมาอีกครั้งในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า โดยกลุ่มผู้ประกอบการก็ต้องรอความชัดเจนจากงรัฐบาลในการแก้ไขกฎหมายควบคุมเรื่องดังกล่าว เพื่อความมั่นใจของชาวต่างชาติกลับคืนมา

ส่วนในเรื่องของการเบนกลุ่มเป้าหมายลูกค้าจากชาวต่างชาติเป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อในประเทศก็ยังไม่มีทีท่าจะเป็นรูปธรรม เพราะผู้ประกอบทั้งในพัทยาและศรีราชาต่างรู้ว่ากลุ่มลูกค้าที่ต้องการเป็นเช่นไร โดยเมืองศรีราชามีความโดดเด่นด้านนิคมอุตสาหกรรม ส่วนพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีจุดขายด้านสถานบันเทิงทำให้กลุ่มลุกค้าเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง

“ผู้ประกอบการเองได้เล็งเห็นแล้วว่าลูกค้าของตนมีกำลังและศักยภาพมากแค่ไหน ซึ่งการปรับกลุ่มลูกค้าเป็นชาวไทยก็ยังไม่มีความชัดเจน เพราะเราแพ้ในเรื่องของค่าเงินสกุลต่างประเทศที่สูงกว่าค่าเงินบาท”

ขณะที่แนวโน้มในอนาคตของกลุ่มผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ของภาคตะวันออกที่จะรวมตัวกันส่งเสริมการตลาดในภาพรวมนั้น ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน แตกต่างจากกรุงเทพฯ ที่มีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง ทำให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการพูดคุยถึงแนวคิดเรื่องการตั้งชมรม หรือสมาคมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดระเบียบรองรับอนาคตของเมืองที่มีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“ต้องยอมรับว่า กระแสเศรษฐกิจโลกจะกระทบกับภาพรวมทั้งประเทศ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ ของโลกเท่านั้น ด้วยปัญหาค่าเงินแข็งตัว ปัญหาราคาน้ำมันและอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของประเทศไทยและเมืองพัทยาโดยปริยาย” นายไพศาล กล่าว

ด้าน นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ยังคงย้ำถึงนโยบายสำคัญของจังหวัดชลบุรีในการควบคุมผู้ประกอบการบ้านจัดสรรให้ดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นการจัดหาแหล่งน้ำ และแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้ง ที่สำคัญ นโยบายของจังหวัดก่อนอนุมัติให้มีการดำเนินโครงการ คือ การกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องติดตั้งถังกักเก็บน้ำในทุกยูนิต โดยจะมีคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ระดับจังหวัดที่กำลังขยายแขนขาออกเป็นระดับอำเภอออกตรวจสอบการดำเนินงานของโครงการต่างๆ อย่างเคร่งครัด

โดย จังหวัดชลบุรี ได้รวบรวมสถิติการขยายตัวของผู้ประกอบการบ้านจัดสรรที่ขออนุญาตดำเนินการถูกต้องนับตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบันพบว่ามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ในปี 2549 จังหวัดชลบุรีอนุมัติให้มีผู้จัดสรรโครงการจำนวน 57 โครงการเท่านั้น แต่ในเดือนมกราคม 2551 ได้อนุมัติผู้ประกอบการไปแล้วถึง 160 โครงการและในอนาคตยังมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้ามายื่นเรื่องขอลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น