แพร่ - อดีต ส.ว.แพร่ “สมพร คำชื่น” ที่พ่ายในสนามเลือกตั้ง ส.ส. 23 ธ.ค. ชี้คะแนนเลือกตั้งสนามเมืองแพร่ผิดปกติแน่นอน ระบุมีการซื้อเสียงทั้งในระดับผู้นำ – ชาวบ้าน แถมโบนัสอีกต่างหาก พร้อมตั้งตารอใบเหลือง-ใบแดงจาก กกต.ก่อนตัดสินใจลงสู้ศึกอีกหรือไม่
การเลือกตั้ง ส.ส.ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งเดือน ในจังหวัดแพร่ยังคงมีเสียงวิพากษ์จากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งในครั้งนี้พรรคพลังประชาชนได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ทั้ง 3 คนถึงแม้ว่านางปานหทัย เสรีรักษ์ จะไม่เคยทำงานหรืออยู่ในจังหวัดแพร่เลย ก็สามารถทำคะแนนเสียงได้ถึง 164,795 คะแนน มาเป็นอันดับ 3 โดยมีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ว่าที่ ส.ส.แพร่พรรคพลังประชาชนได้ 174,306 คะแนน มาเป็นอันดับ 1 ตามด้วยนายแพทย์นิยม วิวรรธนดิษฐกุล ได้ 168,372 คะแนน ทิ้งแม่เลี้ยงติ๊ก –ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู จากพรรรประชาธิปัตย์อย่างขาดลอยเกือบ 4 เท่าตัว
นอกจากนั้นนายสมพร คำชื่น อดีต ส.ว.แพร่ ที่เคยลงเลือกตั้ง ส.ว.แพร่มีคะแนนกว่า 100,000 คะแนน ครั้งนี้ลงสนามเลือกตั้ง ส.ส.ได้คะแนนเพียง 16,486 คะแนนเท่านั้น ซึ่งกระแสดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายของคอการเมืองในพื้นที่เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามการเลือกตั้ง 23 ธ.ค.50 ของจังหวัดแพร่ เริ่มเป็นปัญหาแล้ว หลังจากการเข้าจับกุมและสืบสวนสอบสวนของ องค์กรเอกชน กกต. และชุดสืบสวนของตำรวจ – ทหาร ที่สามารถเก็บหลักฐานการซื้อเสียงได้ รวมทั้งการละเมิดคำสั่งศาล โดยนายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ยังคงเข้าไปร่วมหาเสียง - ร่วมทำงานการเมืองกับพรรคพลังประชาชน ทำให้ไม่สามารถประกาศรับรอง ส.ส.จังหวัดแพร่ทั้ง 3 คนได้ ซึ่งจากพยานหลักฐานเชื่อว่าน่าจะมีใบเหลือง หรือใบแดง อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน
นายสมพร คำชื่น อดีต ส.ว.แพร่ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติไทย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ผิดสังเกต ในการไปลงคะแนนของประชาชนที่เน้นไปที่พรรคพลังประชาชนอย่างเดียว ในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นๆ เกือบไม่มีคะแนนเลย เป็นสิ่งที่น่าตกใจ ซึ่งครั้งนี้ตนมั่นใจว่า เกิดจากการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสอย่างแน่นอน
จากผลคะแนนทำให้ต้องมาวิเคราะห์หนักขึ้นว่าทำไมชาวแพร่จึงไม่ให้ความสำคัญกับคนทำงานร่วมกันมาก่อน และไม่เห็นปัญหาระดับประเทศร่วมกัน ต้องเกิดจากปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถประกาศรับรอง ส.ส.จังหวัดแพร่ได้
เขาบอกว่า ความพ่ายแพ้ของผู้สมัครจากพรรคต่างๆ ในจังหวัดแพร่ ไม่ต่างอะไรกับคลื่นสึนามิ ที่ถล่มจังหวัดแพร่อย่างรุนแรง และเป็นคลื่นก้อนโตที่ทำให้ประชาชนตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกตั้ง หันไปเลือกคนที่ไม่เคยอยู่ในเมืองแพร่เลย เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งคนทำงานในแวดวงการเมืองจังหวัดแพร่ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งคงต้องรอดูผลการตัดสินของ กกต.ก่อนว่าจะออกมาอย่างไร ถ้าเป็นใบเหลือง หรือใบแดง ตนก็จะเข้าไปสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง ครั้งนี้คงต้องวิงวอนให้ประชาชนเห็นภาพขาวและภาพดำให้ชัดเจนขึ้น โดยจะต้องไม่ให้มีการซื้อเสียงในทุกรูปแบบ
“ที่ผ่านมามีการซื้อที่ผู้นำรวมถึงการใช้ระบบโบนัส เข้ามาช่วยด้วยถ้าหมู่บ้านใดเลือกยกทีมได้จะมีโบนัสสำหรับผู้นำอีกด้วย”นายสมพรกล่าว
การเลือกตั้ง ส.ส.ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งเดือน ในจังหวัดแพร่ยังคงมีเสียงวิพากษ์จากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งในครั้งนี้พรรคพลังประชาชนได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ทั้ง 3 คนถึงแม้ว่านางปานหทัย เสรีรักษ์ จะไม่เคยทำงานหรืออยู่ในจังหวัดแพร่เลย ก็สามารถทำคะแนนเสียงได้ถึง 164,795 คะแนน มาเป็นอันดับ 3 โดยมีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ว่าที่ ส.ส.แพร่พรรคพลังประชาชนได้ 174,306 คะแนน มาเป็นอันดับ 1 ตามด้วยนายแพทย์นิยม วิวรรธนดิษฐกุล ได้ 168,372 คะแนน ทิ้งแม่เลี้ยงติ๊ก –ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู จากพรรรประชาธิปัตย์อย่างขาดลอยเกือบ 4 เท่าตัว
นอกจากนั้นนายสมพร คำชื่น อดีต ส.ว.แพร่ ที่เคยลงเลือกตั้ง ส.ว.แพร่มีคะแนนกว่า 100,000 คะแนน ครั้งนี้ลงสนามเลือกตั้ง ส.ส.ได้คะแนนเพียง 16,486 คะแนนเท่านั้น ซึ่งกระแสดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายของคอการเมืองในพื้นที่เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามการเลือกตั้ง 23 ธ.ค.50 ของจังหวัดแพร่ เริ่มเป็นปัญหาแล้ว หลังจากการเข้าจับกุมและสืบสวนสอบสวนของ องค์กรเอกชน กกต. และชุดสืบสวนของตำรวจ – ทหาร ที่สามารถเก็บหลักฐานการซื้อเสียงได้ รวมทั้งการละเมิดคำสั่งศาล โดยนายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ยังคงเข้าไปร่วมหาเสียง - ร่วมทำงานการเมืองกับพรรคพลังประชาชน ทำให้ไม่สามารถประกาศรับรอง ส.ส.จังหวัดแพร่ทั้ง 3 คนได้ ซึ่งจากพยานหลักฐานเชื่อว่าน่าจะมีใบเหลือง หรือใบแดง อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน
นายสมพร คำชื่น อดีต ส.ว.แพร่ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติไทย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ผิดสังเกต ในการไปลงคะแนนของประชาชนที่เน้นไปที่พรรคพลังประชาชนอย่างเดียว ในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นๆ เกือบไม่มีคะแนนเลย เป็นสิ่งที่น่าตกใจ ซึ่งครั้งนี้ตนมั่นใจว่า เกิดจากการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสอย่างแน่นอน
จากผลคะแนนทำให้ต้องมาวิเคราะห์หนักขึ้นว่าทำไมชาวแพร่จึงไม่ให้ความสำคัญกับคนทำงานร่วมกันมาก่อน และไม่เห็นปัญหาระดับประเทศร่วมกัน ต้องเกิดจากปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถประกาศรับรอง ส.ส.จังหวัดแพร่ได้
เขาบอกว่า ความพ่ายแพ้ของผู้สมัครจากพรรคต่างๆ ในจังหวัดแพร่ ไม่ต่างอะไรกับคลื่นสึนามิ ที่ถล่มจังหวัดแพร่อย่างรุนแรง และเป็นคลื่นก้อนโตที่ทำให้ประชาชนตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกตั้ง หันไปเลือกคนที่ไม่เคยอยู่ในเมืองแพร่เลย เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งคนทำงานในแวดวงการเมืองจังหวัดแพร่ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งคงต้องรอดูผลการตัดสินของ กกต.ก่อนว่าจะออกมาอย่างไร ถ้าเป็นใบเหลือง หรือใบแดง ตนก็จะเข้าไปสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง ครั้งนี้คงต้องวิงวอนให้ประชาชนเห็นภาพขาวและภาพดำให้ชัดเจนขึ้น โดยจะต้องไม่ให้มีการซื้อเสียงในทุกรูปแบบ
“ที่ผ่านมามีการซื้อที่ผู้นำรวมถึงการใช้ระบบโบนัส เข้ามาช่วยด้วยถ้าหมู่บ้านใดเลือกยกทีมได้จะมีโบนัสสำหรับผู้นำอีกด้วย”นายสมพรกล่าว