ศูนย์ข่าวศรีราชา - ศูนย์สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 โชว์ผลงานจับกุมกรรมการบริษัทร่วมทุนค้าปลีกฯ ตามหมายจับศาล จ.เชียงใหม่ ในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน คดีแชร์ข้าวสาร
วานนี้ (4ม.ค.51) พันตำรวจเอก กิตติพงษ์ เงามุข รองผู้บังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 จับกุมนายนิตย์ ชวาลาอกนิษฐ์ อายุ 71 ปี 1 ใน 8 ผู้ต้องหาคดีแชร์ลูกโซ่ข้าวสาร ที่ดำเนินการระดมทุนเงินในนามบริษัท ร่วมทุนค้าปลีก จำกัด ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.8081/2550 ลง 28 พฤศจิกายน 2550 ในข้อกล่าวหา “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน“ ได้ที่บริเวณแนวชายแดนตลาดเทศบาล 3 ตลาดโรงเกลือ ตำบลอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ขณะอาศัยเล่นการพนันไปวันๆ พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า 1 ใบ และสมุดบันทึกรายการยอดเงินลงทุนเล่นการพนันกำไร-ขาดทุนรายวัน
นายนิตย์ได้ร่วมกันก่อสร้างบริษัท ร่วมทุนค้าปลีก จำกัด เพื่อหลอกลวงและฉ้อโกง โดยกระทำชักชวนประชาชนทั่วไป ตกลงหรือจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้กู้สูงกว่าที่สถาบันการเงินจะจ่ายให้ในลักษณะให้สิทธิสำหรับเลือกซื้อข้าวสารในราคาถูก หรือระดมเงินทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพื่อนำเงินสมาชิกใหม่ จ่ายให้กับสมาชิกเก่าหมุนเวียน โดยรู้หรือควรรู้ว่า ตนไม่ได้ประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใด อันมีผลประโยชน์มาปันให้แก่ผู้ร่วมทุนตามประกาศโฆษณาแผนการลงทุนของตนได้
เหตุเกิดที่ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และต่อเนื่องเกี่ยวพันในพื้นที่อีกหลายจังหวัด มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น 155 ล้านบาทเศษ โดยหลังเกิดเหตุ นายนิตย์ กับพวก ได้หลบหนีไป กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้รับผิดชอบวนการสืบสวนสอสวน ผู้เสียหายและพยาน ทั้งเชียงใหม่และ จ.ใกล้เคียงถึง 800 ปาก
นายนิตย์ ผู้ต้องหา รับสารภาพว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท โดยใช้ห้องปลูกสร้าง มาร่วมทุนบริษัทกับนายรัชตะ ชวาลาอกนิษฐ์ ลูกชาย ประธานกรรมการใหญ่ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม นายนิตย์ยืนยันว่า มูลค่าความเสียหายไม่ถึง 155 ล้านบาท มีเพียงประมาณ 50-60 ล้านบาทเท่านั้น ตนเป็นคนเดินบัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขา กาศสวนแก้ว อ.เมือง จ.เชียงใหม่ วันละ 1 – 2 ล้านบาทให้ไปตรวจสอบได้ ส่วนเงินที่ตนนำหลบหนีมามีเพียง 20,000 กว่าบาท ส่วนที่เหลือไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาไป
ส่วนที่บริษัทล้ม เพราะว่าพวกบริษัทในเครือข่ายจากจังหวัดต่างๆ ฉ้อโกง รับเงินมาแล้วก็ไม่ได้เอาเงินส่งให้บริษัทแม่ที่เชียงใหม่ครบตามจำนวน เมื่อเป็นเช่นนั้นเงินที่หมุนเวียนจึงหายจากระบบดังกล่าว ตนจะสู้คดี และเมื่อคดีเสร็จก็จะชักชวนลูกชายคือนายรัชตะมาสู้คดีต่อไป
หลังจากนั้น ตำรวจนำตัวนายนิตย์ส่งดีเอสไอไปดำเนินคดีในข้อหา“ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชนต่อไป