จับตา “ช่างทำทอง” งานฝีมืออันทรงคุณค่า อาชีพนี้จะอยู่ได้ไหม ถ้า “ทองแพง-คนไม่ซื้อ-ร้านทองปิดตัว” สะท้อนผ่านมุมมองช่างทองไวรัล TikTok “นะโมบ้านช่างทอง” พร้อมเปิดใจเรื่องราวชีวิตของเขาแบบ Exclusive ที่นี่เป็นครั้งแรก!!
** คนในอยากออก คนนอกไม่อยากเข้า **
ใครจะไปคิดว่าวันนึงเราจะได้เห็นราคาทองคำพุ่งทะลุบาทละ 50,000 บาทเข้าไปแล้ว ยิ่งสภาพเศรษฐกิจไม่ดีอย่างต่อเนื่อง ผู้คนไม่มีกำลังซื้อ แถมราคาทองก็แพงขนาดนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างแรงสะเทือนไปถึงร้านทอง ทำให้หลายเจ้าโดยเฉพาะร้านทองรายเล็ก เป็นอันต้องปิดกิจการลง
และอีกภาคส่วนที่โดนผลกระทบไปเต็มๆ นั่นก็คืออาชีพ “ช่างทำทอง” เพราะคนที่ซื้อทอง ก็เลือกซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุนแทน และมีการใช้เครื่องจักรเข้ามาในกระบวนการอีก ก็เลยทำให้การจ้างงานช่างทองน้อยลงตามไปด้วย
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราเลยชวน “นะโม - รังสิต แดงโสภา” เจ้าของร้าน “นะโมบ้านช่างทอง เพชร ทอง & จิวเวอรี่” ช่างทองหนุ่มคนดังบนโซเชียลฯ มาพูดคุยกัน เขาสะท้อนว่า ช่างทองงานฝีมือในปัจจุบันอยู่ยาก และคนรุ่นใหม่ที่จะมาสืบทอดก็แทบไม่มีแล้ว
“เมื่อก่อน อาชีพช่างทองในยุค 20-30 ปีที่แล้ว ถือว่าบูมมากๆ ตอนนี้ช่างทองในการสืบทอดมันจะไม่ค่อยมีแล้ว เนื่องด้วยในเจนที่อายุน้อยๆ ที่จะมาเรียนเป็นช่างทองแทบจะไม่มีเลย ก็จะเหลือเพียงรุ่นเก่าๆ เท่านั้นที่กำลังทำกันอยู่
ทุกอย่างมันหายไปเรื่อยๆ หลายๆ ร้านปิดกิจการ เพราะว่าช่างทองอยู่ไม่ได้ ไม่มีงานจ้างที่จะทำเป็นรูปพรรณต่างๆ แล้วที่สำคัญ คนหันมาซื้อทองแท่งกันเป็นจำนวนมาก บางท่านไม่อยากใส่ทองแล้ว อาจจะใส่เล็กๆ น้อยๆ แม้แต่ทองคำรูปพรรณที่ไม่ใช่งานช่างยังเกิดผลกระทบ อย่างที่เราเห็นแขวนกันอยู่ตามร้านทองตู้แดง ก็จะเป็นงานทำเครื่องเป็นส่วนใหญ่
ราคาทองมีผลมาก ถ้าเปรียบเทียบมนุษย์เงินเดือน คนที่จะมีเงินซื้อทอง 1 บาท ต้องเก็บกี่เดือน แล้วจะมาเก็บเป็นงานช่างทองก็น้อย เพราะว่างานช่างทองจะเป็นเฉพาะกลุ่มที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มจิวเวอรี่ กลุ่มพระเครื่อง แล้วก็กลุ่มของงานอลังการวังเวอร์ ชอบส่วนตัว คนก็เริ่มไม่อยากจะทำแล้วเพราะว่ามันแพง
ถ้าเป็นงานของช่างทอง ก็จะมีค่าฝีมือแล้วก็ค่ากำเหน็จค่อนข้างที่จะแพงกว่า แต่ว่ามันจะเป็นชิ้นเดียว เป็นงาน handmade ผลิตออกมาเป็น limited คุณค่าต่างกันครับ คุณค่าทางจิตใจกับการครอบครอง กับการสะสมต่างกัน”
การที่คนคนนึงจะฝึกเป็นช่างทำทองได้ ก็ใช้เวลานานหลายปี และการอยู่กับของมีมูลค่าแบบนี้ก็วัดใจไม่ใช่น้อย
“ช่างทองอาจจะต้องไปหาอาชีพเสริมบ้าง แต่ว่าจะให้ทิ้งอาชีพช่างทองเลย เหมือนกับการเล่นดนตรี ถ้าทิ้งไปนานๆ 2-3 ปี เขาเรียกว่ามือแข็ง มันจะไม่คล่องตัวแล้ว ก็ต้องมาเคาะสนิมใหม่ หรือบางท่านก็อาจจะทำไม่ได้ละเอียดเหมือนเดิมครับ
แต่ว่าการที่เป็นแรกๆ มันยากนิดนึง โดยเฉลี่ยแล้วถ้าทำเป็น ไม่พูดถึงทำสวย ก็น่าจะประมาณ 3 ปี แต่ถ้าจะเก่งหรือเชี่ยวชาญผมว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 ปี คืองานมันละเอียดจริงๆ ทำยาก มันต้องอาศัยประสบการณ์แล้วก็ความชำนาญ
บางคนชอบถอดใจ เพราะว่าอาชีพช่างทองต้องนั่งเอาโลหะมาเลื่อยอยู่กับโต๊ะไม่ได้หยุด มันต้องใจรักว่าฉันสร้างศิลปะชิ้นนี้ขึ้นมา มันก็มีความสุข แล้วเขาก็จะคิดว่าเวลาจับทอง น้อยคนที่จะได้จับ ภาษาช่างทองเรียกว่าแร่ของสวรรค์ เราเป็นคนของสวรรค์ เกิดมาเป็นช่างทองสร้างสรรค์รูปแบบต่างๆ ออกมาให้คนได้ใช้
แต่ทั้งหมดมันก็วัดใจเราด้วย ว่าเราจะเกิดความโลภกับทองหรือเปล่า ช่างทองหลายๆ คนก็จบจากอาชีพนี้แล้วเป็นโจรกันเยอะแยะ หมายถึงว่าเวลาอยู่กับทองก็ขโมยทอง แล้วผู้ที่จะเข้ามาเป็นช่างทองรุ่นใหม่ก็แทบจะไม่มีเลย
คนเข้ามาถ้ามือไว แค่แตะวันละนิด แตะผงทองเอาไปละลายน้ำในแก้ว ใส่ขวดแก้วไว้ทุกวันๆ 1 เดือน ผมเชื่อว่าได้ทองเกือบ 1 บาท มันคือการขโมย ช่างทองเองก็ไม่กล้าที่จะเอาช่างทองรุ่นใหม่เข้ามาด้วยเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือคนสนิท มันก็เลยทำให้เกิดช่องว่างตรงนี้ การจะเกิดวัยรุ่นช่างทองหรือเจนใหม่ๆ ยากครับ”
ถามถึงอนาคตของอาชีพช่างทองในบ้านเรา นะโมสะท้อนว่า ถึงการจ้างงานจะน้อยลง แต่ก็ยังมีคนที่ชื่นชอบงานศิลปะจากทองคำอยู่ ก็อยู่ที่ตัวของช่างแต่ละคนจะรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้หรือไม่
“อาชีพนี้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าง สหรัฐอเมริกาหรือแถบยุโรปเอง ที่มีการใช้แหวนเพชร ยังมีการใช้อะไรที่เป็นสื่อสัญลักษณ์ของเขาอยู่ในเรื่องของความรักความคิดถึง เนื่องด้วยช่างทองจะมีจำนวนน้อย เอาง่ายๆ รัฐรัฐนึงอาจจะมีช่างทองเพียงแค่กลุ่มเล็กๆ เท่านั้นเอง แต่มีผู้ต้องการที่เป็นลักษณะงาน handmade งานเขาก็จะเยอะมาก
ถ้ามองย้อนกลับมาบ้านเรา ตอนนี้ยังถือว่าเยอะอยู่แต่ก็น้อยลง แล้วเศรษฐกิจบ้านเรา กำลังซื้อของคนไม่ได้เยอะ ราคาทองมันเป็นราคาของโลก มันเป็นราคาสากล เพราะฉะนั้น เหนื่อยอยู่พอสมควรสำหรับช่างทองไทย
ผมคิดว่ายังไงก็ตามมนุษย์ก็ยังชอบศิลปะและความสวยงาม โดยเฉพาะเพชร ทอง ก็ยังคู่กับการใช้สอยในเรื่องของงานโชว์และเป็นเครื่องประดับอยู่ ถ้าใครที่ยังรักษามาตรฐานไม่ได้ ผมว่าแย่แน่ๆ
ผมยังคิดว่าตัวเองจะไม่รอด ด้วยราคาทองแพง คนก็จะไม่อยากที่จะสั่งงาน แต่มันก็มีกลุ่มนึงที่เขายังมีกำลังอยู่ เขาก็จะเลือกใช้ร้านที่มีมาตรฐาน การซื้อขายที่ตรงไปตรงมาและมีศิลปะที่สวยงาม ร้านเรามีจุดเด่นตรงนั้นก็เลยทำให้เราอยู่ได้”
** ร้องไห้ไป ฝึกไป พิสูจน์ตัวใน 7 วัน!! **
ถึงแม้เราจะรู้จักชายคนนี้ในฐานะช่างทองชื่อดังบนโลกโซเชียลฯ แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเส้นทางชีวิตของเขาเป็นมายังไง ซึ่งนะโมได้เปิดใจเรื่องราวของตัวเอง แบบที่ไม่เคยเปิดเผยกับที่ไหนมาก่อน
“ตัวผมเองผมเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้อบอุ่นเท่าไหร่ อยู่กับคุณตาคุณยายที่ จ.สุรินทร์ครับ ผมก็เป็นหลานคนเดียวที่เขาต้องเลี้ยงดู เพราะว่าแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วย ให้นมเพียงแค่ 3 เดือนแล้วก็ต้องมาทำงานที่กรุงเทพฯ นานๆ ก็จะติดต่อกลับไป ส่งเงินให้คุณยาย ก็รอคอยตลอดว่าเมื่อไหร่คุณแม่จะกลับมา ปีนึงเราจะเจอคุณแม่แค่ครั้งเดียวหรือบางปีไม่ได้เจอเลย
ตอนเด็กๆ จะเป็นเด็กที่ขยัน ไม่เกเรเลย คุณตาคุณยายไปทำนาเราก็ไปด้วย จะทำนาเป็น ไถเป็นตั้งแต่เด็กเลยนะเพราะว่าเรามันลูกชาวนา เขาฝึกให้ทำก็ทำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวข้าว มัดข้าว ตีข้าว อยู่กับท้องไร่ท้องนา อยู่กับควาย ก็จะไปหากะปอมบ้าง ไปปักเบ็ดบ้าง ถ้าเป็นหน้าเก็บเห็ดก็จะไปเก็บเห็ดกับญาติ
คุณตา คุณยายชอบทำบุญ เป็นหมอโบราณ ก็จะมีคนในหมู่บ้านมาให้รักษา ใช้รากไม้เป็นยาฝนใส่น้ำแล้วก็ดื่ม ถ้าใครหายก็จะมีค่าครูประมาณ 1-2 บาท คุณยายก็จะเอาไปทำบุญต่อ เอาไปซื้อกล้วยซื้อขนมไปใส่บาตร ก็จะปลูกฝังตรงนั้นมา
พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก เกิดมาไม่เคยเจอพ่อเลย คุณตาคุณยายก็จะบอกว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้ว เอาตรงๆ เขาก็โกหกเรา เพื่อให้เราไม่น้อยใจแล้วก็ก้าวต่อไปได้ เพราะว่าคนอื่นๆ จะชอบล้อว่าคนนี้ไม่มีพ่อ
ได้ไปโรงเรียนวันละ 2 บาท ต่ำสุดจะได้ไป 50 สตางค์ เพื่อนส่วนใหญ่เขาจะมีครอบครัว เราก็อยากมีเหมือนเขานะ เราไม่อยากไปโรงเรียนเพราะไม่อยากให้เพื่อนล้อ ถ้าพูดกันตรงๆ มันเก็บกด แกล้งป่วยบ้างแกล้งอะไรบ้างตามประสาเด็ก”
แต่พอหลังจากเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้ว ความจริงที่ถูกปกปิดจากผู้ใหญ่มาตลอดก็ถูกเปิดเผย นั่นก็คือคุณพ่อของนะโมยังมีชีวิตอยู่และมีอาชีพรับราชการ ประกอบกับทางคุณตาคุณยายที่ฐานะขัดสน จึงไม่มีเงินที่จะส่งเสียให้หลานรักเรียนต่อได้ เลยต้องยอมส่งแก้วตาดวงใจให้มาอยู่กับผู้เป็นพ่อ เพื่อให้หลานมีอนาคตทางการศึกษาที่ดีขึ้น
สำหรับเส้นทางในอาชีพช่างทอง ต้องย้อนกลับไปราว 13 ปีที่แล้ว นะโมมีความชื่นชอบในด้านพระเครื่องและงานศิลปะ เขาจึงอยากพระสวยๆ คล้องคอเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง
ทว่า ดันเจอเหตุการณ์ที่ถูกช่างเลี่ยมทองเอาเปรียบ กดราคาขายคืนต่ำลงหลายเท่าทั้งที่ซื้อมายังไม่ถึงเดือน เขาจึงตั้งคำถามถึงสิ่งที่เจอ ประกอบกับสนใจงานด้านนี้เป็นทุนเดิม ก็เลยตัดสินใจไปเรียนเพื่อให้รู้กระบวนการทำงานว่าเป็นยังไง
“ไปเรียนศิลปะเกี่ยวกับทอง เริ่มศึกษาก่อนว่าเราจะเลี่ยมทองจะต้องทำอะไรก่อน เลี่ยมพระเสร็จก่อนมั้ย ต้องเรียนรู้ตั้งแต่เรื่องเปอร์เซ็นต์เลยมั้ย เปิดหนังสืออ่าน พอดีแฟนของผมเองเขาก็เป็นวิศวะโลหการ ก็เกี่ยวกับโลหะวิทยาทั้งหมด เราก็เลยได้เห็นองค์ความรู้ของเขา แล้วก็จะสอบถามเขาบ่อยๆ ว่าแร่ตรงนี้ผสมตรงนี้มันเป็นอะไร ก็เลยเริ่มศึกษา
ที่เป็นงานหลักเราทำอยู่ในเครือ SCG ครับ เราเงินเดือนไม่เยอะนะครับ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน เราก็นำเงินนี้เอาไปเรียน ให้เขาสอนในกระบวนการต่างๆ ว่าเป็นช่างแกะต้องทำอย่างนี้ เป็นช่างขึ้นรูปต้องทำอย่างนี้ ช่างขึ้นแหวนต้องทำอย่างนี้ ก็เรียนมาเรื่อยๆ แรกๆ เลยน่าจะอายุประมาณ 27 ปีครับ
ทำงานไปด้วย ฝึกเป็นช่างทองไปด้วย ศึกษาหลายที่นะครับ เพราะว่าในสาขาช่างทองมันมีเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นช่างตัวเรือนแหวน ช่างตัวเรือนพระ ช่างขัดชุบ ช่างฝังเพชร ช่างแกะลาย มีเยอะมากมาย ผมพยายามศึกษาให้ครบทุกแขนง
เราทำงานด้วยยังไม่ออกจากงาน จนรู้สึกท้อ บอกตรงๆ ว่าช่วงแรกคือทำทองไปด้วย นั่งร้องไห้ไปด้วย คงไม่มีปัญญาที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นผู้สำเร็จในตรงนี้ได้ มันยากจริงๆ มันหลายกระบวนการมาก”
ไม่ใช่แค่ความยากในการทำทองที่เกือบทำให้ถอดใจแล้ว น้องใหม่ในวงการตอนนั้นยังเจอคำสบประมาทจากคนทำงานสายเดียวกัน แต่นั่นกลับกลายเป็นแรงกระตุ้น ให้เขามุ่งเอาดีในการเป็นช่างทองอย่างจริงจัง
“ช่างทองที่เราไปเรียนกับเขา เขาไม่ซื่อสัตย์ เขาบอกว่าของเขาดีตลอด แต่ว่าผมจับได้ว่าเขาทำเปอร์เซ็นต์ไม่ตรง เขาไม่รับผิดชอบลูกค้า เขาบอกว่าไม่เป็นไร ลูกค้าเราเยอะแยะอย่าไปซีเรียส เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั่วประเทศ เป็นคำนี้ครับ
ผมก็เลยบอกว่าทำไมเขาพูดอย่างนี้ ทำไมเขากล้าที่จะเอาเปรียบคนอื่นได้ ผมไม่เรียนกับเขาแล้ว ก็คือแยกตัวออกมา แล้วเขาก็ใช้คำสบประมาทผมว่า ‘คุณไปคุณก็เอาตัวไม่รอด คุณยังห่างกับผมอีกเยอะ’ มันเลยเป็นแรงกระตุ้นเรา ผมคิดว่าคนที่ดีต้องได้ดี ต้องได้ดีกว่าเขาด้วย ผมบอกตัวเองอย่างนั้นนะ แล้วผมก็ก้าวออกมา ทั้งๆ ที่ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะไปที่ไหน
จนมีพี่ชายคนนึงบอกว่า นะโมลองไปถามคนนี้สิ เขาเป็นครูช่างทอง ก็คือครูประภาส วิจิตรา เขาก็เปิดโอกาส เรารู้สึกว่ามันเปิดกว้างมากกว่าเดิม แต่มันยากกว่าเดิม ไม่ไหวแล้วมั้ง เงินทองเราก็ไม่มีที่จะจ้าง เราก็ทำงานด้วย ทำทองไปด้วย
ผมบอกตัวเองว่า ผมทำพระองค์นึง ถ้าผมทำไม่ได้ ทำไม่สวยภายใน 7 วัน ผมจะไปหาอาชีพอื่น มันก็เลยทำให้ภายใน 7 วันนั้น ผมได้อะไรเยอะแยะมากมาย ได้ทั้งความสุข ได้ทั้งน้ำตา ได้ทั้งความพยายาม มันก็เลยทำให้เขารู้สึกว่า มันเป็นสิ่งวิเศษที่ผมทำพระองค์นั้นออกมาได้สวยมากๆ อันนี้คือจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจว่าผมทำได้แล้วนะ
แล้วก็เป้าหมายต่อไปผมจะเปิดร้านเลี่ยมพระที่มีคุณธรรมที่สุด แล้วผมจะให้ความรู้เกี่ยวกับคนทั่วประเทศเลยว่า ความรู้นี้มันเป็นภูมิคุ้มกันให้กับทุกคนนะ ไม่ต้องโดนเอาเปรียบ เวลาขายก็ไม่โดนเอาเปรียบด้วย ผมเลยตั้งปฏิญาณไว้”
** ซื่อสัตย์ไม่พอ ต้องมีพาวเวอร์ "ร้านทอง" **
หลังสั่งสมฝีมือการทำทองจนมั่นใจ เป้าหมายต่อไปคือการมีร้านเป็นของตัวเอง แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะในตอนนั้นนอกจากเงินลงทุนแล้ว ยังมีเรื่องของประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ ที่ยังไม่มากพอให้ลูกค้าตัดสินใจมาจ้างงาน
“ผมขายทุกอย่าง ขายรถ ขายทองที่เรามีเก็บไว้นิดหน่อย ซื้อเครื่องมือ ซื้อทอง 2 บาท เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ทอง 2 บาทนั้นทำออกมาเป็นผงขายได้แค่ 8,000 บาท หมดตัวเลย ให้แฟนไปถอนเงินสะสมออกมา แล้วก็กู้ด้วยจากโรงงาน เพื่อที่จะซื้อทองให้ได้ 5 บาท รับออเดอร์จากลูกค้า เราต้องปั้นทองก้อนนี้ ไม่รู้จะช้าแค่ไหน แต่ภาวนาให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผมใช้ประหยัดมาก เพื่อที่จะให้เราสามารถเปิดร้านได้ มีร้านที่มีชื่อเสียงเยอะ บางคนเข้ามาเขาก็คิดว่าอายุ 30 กว่าเอง แล้วจะเอาพระราคาเป็นล้านเป็นแสนมาไว้ที่คุณได้ยังไง คุณจะรับผิดชอบพระผมได้ยังไง มีคนเข้ามาถามแล้วก็เดินออกไป
ผมรู้สึกว่าความซื่อสัตย์ไม่พอ ความสวยก็ไม่พอ ต้องมีพาวเวอร์ ต้องมีเงิน เพราะคนเวลาเข้าไปเลี่ยมต้องเป็นร้านทองนะ ต้องเป็นร้านที่มีมาตรฐาน มีตัวอย่างเยอะแยะมากมาย ผมเข้ามาร้านคุณไม่มีอะไรเลย มีแต่งานเงินวางอยู่ ตอนนั้นจี๊ดมากเลยครับ มันเจ็บใจว่าทำไมคนจนๆ อย่างเราทำอะไรลำบากจัง
สุดท้าย เหมือนมีลูกค้าที่เขาชอบในตัวผม ว่าทำไมทำงานออกมาแล้วจริงใจจังเลย ไปคุยกับร้านอื่นไม่เหมือนนะโม เขาก็เลยให้งานผมมาแต่ไม่เยอะนะครับ ก็มีกำไร เลยทำให้เราได้ถูกปากต่อปากว่าร้านนะโมเป็นเด็กก็จริง แต่เขาทำตรงนี้ได้ ทีนี้เยอะมากเลย คนมาสั่งงานร้านผมเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเงิน งานทอง ทีมเราก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
[ ช่างทองร้านนะโม ประสบการณ์ไม่ต่ำ 2 ทศวรรษ ]
จากจุดเริ่มต้นด้วยทอง 2 บาทในวันนั้น ตอนนี้ “ร้านทำทองนะโมบ้านช่างทอง เพชร ทอง & จิวเวอรี่” กลายเป็นร้านทองชื่อดัง เป็นที่รู้จักของทั่วประเทศและต่างประเทศ ซึ่งช่างที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่ประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 20 ปีกันทั้งสิ้น
“เมื่อก่อนเราเป็นช่างทองที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ก็จะมีของโชว์เล็กๆ น้อยๆ แต่พอเรามารับซื้อ มันก็เลยทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์กว้างขึ้น เงินมันหมุนเร็วขึ้น กำไรแม้จะได้เล็กน้อย มันก็พอกพูนขึ้น มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าอาชีพนี้มันเกิดขึ้นได้
ตอนนี้ทำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานจิวเวอรี่ต่างๆ งานเลส แหวน กำไล แหวนเพชร แหวนแต่งงาน กำไลข้อมือ งานเลี่ยมพระ แล้วก็งานจี้สร้อย ทองคำทุกประเภท เราทำได้หมดเลย งานช่างฝีมือนะครับ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม ทำได้ตามสั่งเลย มีหลากหลายเปอร์เซ็นต์ทองให้ลูกค้าเลือก แล้วก็มีใบรับรองน้ำหนักทอง ใบรับรองเปอร์เซ็นต์ทอง
ทีมงานทั้งหมดในร้านอยู่ที่ประมาณ 14 คนครับ เฉพาะช่างทอง 8 คน ทีมงานผมจะเป็นตัวแทนที่สามารถดำเนินการแทนผมได้ ถ้าผมไม่มีถ่ายทำรายการหรือว่าไม่ได้ไปไหน ก็จะอยู่ที่ร้านตลอด เมื่อก่อนลงมือทำ แต่ตอนนี้ลงมือทำไม่ได้ เพราะว่าเราทำรับซื้อ รับตรวจสอบ ช่วยสกัด ช่วยทุกอย่างที่คนมีปัญหาเกี่ยวกับเงิน ทอง นาค จะยืนให้ความรู้อย่างนี้ทั้งวัน
เมื่อก่อนจะเดินทางเข้ามาสั่งงาน แต่ตอนนี้กลับมาสั่งงานเพียง 5 % นอกนั้น 95 % มาขายกันเยอะมากครับ แต่ละวัน 80 คิวขึ้นไป ลูกค้าส่วนใหญ่มีทองที่เป็นมรดก ไม่มีตราบ้าง ทำมาจากช่างทองบ้าง ไม่สามารถที่จะไปขายตามร้านทองได้ เขาต้องการพิสูจน์ทราบว่าของเขาขายได้มั้ย ขายได้เท่าไหร่ เป็นทองแท้มั้ย แยกให้หน่อย”
[ ลูกค้าเยอะจนต้องจัดคิว ]
ส่วนคำถามที่ว่า ร้านทองจะอยู่รอดยังไง ถ้ามีแต่คนมาขายมากกว่ามาซื้อ ซึ่งเจ้าของร้านทองคนนี้ก็ตอบเอาไว้ว่า...
“การซื้อขายทองจะมีกำไรอยู่แล้ว ถ้าทองราคาคงที่ เราจะมีกำไรส่วนต่างอยู่เล็กน้อย มันเป็นสินค้าที่เราซื้อมาต้นทุนสูงมาก สมมติทอง 50,000 บาท ต่อ 1 บาท เรามีกำไรเพียงแค่ 300 กว่าบาท อาศัยจำนวนคนที่เข้ามา
แต่ถ้าจำนวนน้อย ถามว่ามีความเสี่ยงมั้ย มีความเสี่ยงแน่นอน ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง เฉพาะที่คนมาขาย ถ้าทองลงต่อวันมากๆ ในภาษาการซื้อทองก็เรียกว่าติดดอย ก็คือราคาซื้อเข้ามามันสูงกว่าราคาที่จะต้องขายออกตอนนี้
เราก็จะต้องมีสายป่านที่ยาวหน่อย ก็ต้องอดทนแล้วก็เก็บไว้ แต่ถ้าอดทนไม่ไหวก็ต้องเรียกทุนส่วนต่างกับคืนมา ต้องนำไปสกัดขาย ต้องยอมขาดทุน มันก็มีข้อดี-ข้อเสีย แต่ถ้าทองขึ้นก็เป็นผลดีกับเรา”
** "พี่ต้องดัง" รับซื้อสูงจนถูกดัน **
และจุดที่พาให้ชายคนนี้เป็นที่รู้จักขึ้นมาบนโลกโซเชียลฯ นั่นก็คือการทำคอนเทนท์รับซื้อทอง พร้อมกับให้ความรู้เรื่องทองไปในตัว จนส่งให้ตอนนี้ช่อง TikTok “นะโมบ้านช่างทอง” มีผู้ติดตามเกือบ 880,000 คน ส่วนทาง Facebook “ร้านทำทองนะโมบ้านช่างทอง เพชร ทอง & จิวเวอรี่” ก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีผู้ติดตามเฉียดล้าน!!
“เริ่ม TikTok เมื่อปีที่แล้วเองครับ ผมเล่น TikTok ก็เพราะว่ามีลูกค้าท่านนึงนำกรอบพระไปขาย ร้านทองให้เพียงแค่ 2,000 กว่าบาท แล้วมีคนแนะนำให้มาหาผม ผมก็ซื้อไปในราคาที่เกือบ 9,000 บาท จนทำให้เขาตกใจ เขาก็บอกกับผมว่า ‘คุณนะโมต้องดัง ต้องให้เขารู้ว่าคุณนะโมซื้อเป็นธรรมมากๆ ต้องทำ TikTok คนที่ไม่รู้แบบพี่เยอะมากนะ ลองทำดู’
ผมก็เลยเก็ทไอเดียว่าผมรับซื้อกรอบพระ ให้ราคาสูง ใครมาขายผมก็จะขอถ่ายทำ เดี๋ยวผมจะเอาไปโพสต์ Facebook โพสต์ TikTok ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก ผมก็งง ทำไมคนดูเรื่องของเราเยอะจัง ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
มันเรารู้สึกว่าเราให้ความรู้กับคนทั่วประเทศได้ด้วย ก็เลยทำให้ผมต้องทำจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ ก็เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่าง ศึกษาในการจะสัมภาษณ์ลูกค้า ต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับโลหะ ต้องเข้าไปดูความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลหะใน YouTube ทุกวัน เครื่องมือผมมีครบ ไม่ว่าจะตรวจเพชร ตรวจพลอย ตรวจโลหะทุกอย่าง มันก็เลยทำให้เราพร้อมมากๆ ที่จะช่วยเหลือทุกๆ คน
ศึกษาด้วยตัวเอง แต่ก็ถามน้องแอดมินบ้าง เราเป็นคนที่ถ่ายทำเอง ตัดต่อเอง แล้วก็ศึกษาว่าเราจะโพสต์ยังไง ผมจะทำให้มันคล้ายๆ กับหนังสั้น เป็นเรื่องราวสั้นๆ ที่ได้ความรู้ แล้วก็ได้แนวคิดให้กับผู้ชมครับ”
ปราณีตทุกชิ้น ผลงาน “ทองทำมือ”
ช่างทองคนดังยังได้เล่าถึงประสบการณ์การเจอลูกค้า มีหลายเคสที่สร้างความประทับใจให้กับทั้งตัวเขาและผู้ติดตามบนช่อง TikTok นำมาซึ่งการช่วยเหลือในฐานะเพื่อนมนุษย์ ที่มากกว่าการซื้อขาย
“ผมเองจะเน้นในเรื่องของความเมตตา ถ้าผมเห็นเขาลำบาก ผมจะบอกให้นำเรื่องราวที่ตัวเองลำบากระบายกับผมได้เลย แล้วก็ผมขออนุญาตถ่ายทอดเรื่องราวนี้ ให้เป็นแง่คิดในเรื่องของพระพุทธศาสนาด้วย
เคสที่ถ่ายทำและชอบที่สุดก็จะเป็นเคสที่น้ำท่วมที่เชียงใหม่แล้วมาทั้งครอบครัว ก็คือสูญเสียทั้งหมด นั่งปิกอัพกันมา 6-7 คน มีแค่เข็มขัดแล้วก็ทองที่ไม่ได้มีค่าอะไรมาก ไม่รู้ว่าทองของตัวเองเป็นทองประเภทไหน ไม่รู้ว่าเข็มขัดตัวเองขายได้มั้ย
ผมก็ได้ให้ความรู้ แล้วก็ได้ช่วยเหลือเขาไปด้วย ทุกคนก็ขอบคุณทั้งน้ำตา ดีใจที่ได้มาเที่ยว ได้มาพิสูจน์ อะไรที่เสียหายไปที่บ้านก็ได้เงินส่วนนี้ไปต่อเติม ผมก็ได้ร่วมบริจาคด้วย เคสพิเศษมีเยอะมากๆ เคสที่ไม่ได้ถ่ายทำ เราได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยที่เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายหมายว่าจะช่วย แต่พอได้ช่วยไปแล้วมันคือความสุขในการทำ
ที่สำคัญ ผมไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียวในการตรวจ คุณจะยกลังมาผมตรวจให้ฟรี ขายไม่ขายไม่เป็นไร ผมอยากให้คนไทยได้ความรู้ แล้วก็ไปแบ่งจ่ายความรู้ตรงนี้ออกไปให้กับคนรอบข้าง แล้วมันจะเกิดการบอกต่อ เกิดการตลาดไปในตัว
1.ให้ความรู้ 2.ให้ใจ 3.ให้คุณธรรม รู้สึกว่าถ้าเราให้ใจเขา เขาก็จะให้ใจเรากลับมา เราอธิบายว่าประเมินให้แล้ว ทำไมถึงได้แค่นี้ เราเอาไปสกัดเราจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ เราจะบอกทั้งต้นทุนของเราและต้นทุนของเขา บอกทุกกระบวนการ”
นะโมยังบอกอีกว่า การนำโซเชียลฯ แพลตฟอร์มต่างๆ มาใช้ ก็สามารถช่วยซัพพอร์ตกิจการได้เป็นอย่างดี
“โซเชียลฯ มันสุดยอดมาก ทุกวันนี้โลกของเรามันสามารถสื่อสารกันได้ทั่วโลก โดยเฉพาะ TikTok ผมก็จะมี FC หลายๆ ประเทศ แถบยุโรป แถบเอเชียเพื่อนบ้านเราก็รู้จักกันหลายท่าน เขาก็จะมีการส่งรูปต่างๆ ที่เขาคิดว่าเป็นของมีค่ามาให้เราได้ตรวจสอบผ่านทางออนไลน์ด้วย สามารถสอนคนทางต่างประเทศได้ด้วยครับ
ผมไม่ได้มีรายได้จาก TikTok นะครับ ยกเว้นจะได้ดอกกุหลาบที่เขาให้มาพันกว่าบาท แต่ว่าเราได้จากเรื่องราวที่เราทำออกไป แล้วก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีจริงๆ ไม่งั้นร้านนะโมก็ไปไม่รอดเหมือนกัน
หลายๆ ร้านที่ปิดตัวไป ส่วนใหญ่เขาไม่มีความรู้ทางเทคโนโลยี เพราะว่าช่างทองเมื่อเขาอายุเยอะแล้วเขาก็จะไม่เก่งเรื่องโซเชียลฯ เราเป็นเด็กยุคใหม่ เราก็ต้องนำโซเชียลฯ เข้ามาทำให้คนรู้จักเราตัวตนเรา ฝีมือของเรา แล้วก็ผลงานของเรา”
** เกินฝัน แต่เป็นจริง "จับเงิน 100 ล้าน" **
แม้จะไม่เคยพลาดในการตรวจของมีค่าที่ลูกค้านำมาขาย แต่เพราะความใจดีก็เลยพลาดช่วยเหลือมิจชีพไปซะได้
“มิจฉาชีพเจอบ่อยมาก อาจจะใช้คำว่าเจอเกือบทุกวันก็ได้ ผมก็จะสอบถามความเป็นมา ได้มายังไง เป็นมรดกเหรอครับ ก็จะมีการซักประวัติ ขอบัตรประชาชน ถ้าเขาไม่มีให้ ผมก็จะบอกเขาว่าคงช่วยเหลือไม่ได้
บางท่านมาในแนวลำบากจริง ไม่มีอะไรมาขาย ก็จะไม่ให้ถ่ายทำแต่ว่าขอเงิน ผมก็คิดว่าเขาไม่ได้มาทุกวัน เขาก็อาจจะหมดหนทางจริงๆ ผมก็ให้นะทั้งๆ ที่ผมรู้ ผมอดไม่ได้ ให้มากให้น้อยก็แล้วแต่
แต่ผมก็จะบอกเขาว่า เงินที่ให้อยากจะให้นำไปซื้อข้าวกินนะ อย่าเอาไปซื้อเหล้าซื้ออะไรที่มันไม่เป็นประโยชน์ สัญญากับผม สัญญาต่อหน้าพระได้มั้ย ที่นี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะ ถ้าผิดคำสัญญาเราคงจะไม่ได้เจอกันอีก ก็ใช้ธรรมะสอนใจเขาด้วย
เคยให้มากสุดก็คือคนนั้นผมโดนหลอก เอาทองปลอมมาขาย บอกว่าแม่พิการ น้องพิการ เขาร้องไห้ด้วยนะ ผมช่วยเหลือไปน่าจะประมาณ 7,000 ให้ไปจ่ายค่าบ้าน ให้ไปซื้อข้าวให้แม่ให้น้อง สุดท้ายเป็นมิจฉาชีพ
ผมไม่เคยซื้อทองปลอมนะครับ ทางร้านมีการตรวจสอบ 100% แต่ว่าตอนที่เขาลงทะเบียน บัตรประชาชนเหมือนเขามากแต่ไม่ใช่ของเขา คนที่รับประวัติเขาก็ไม่ได้เอะใจ ยังมีการใส่แมสก์กันอยู่ เปิดให้ดูแค่แป๊บเดียว คนที่ร้านก็เยอะ เรามัวแต่ยุ่ง
ผมโพสต์ใน TikTok มีร้านทองที่เขาห่วงผม เขาบอกใช่คนนี้เลยนะโม แว่นเดียวกัน ลักษณะเดียวกันหมด เคยเอาทองเก๊มาขายที่ร้านพี่ ผมก็เลยไปดู โอ้โหใช่เลย คนเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้แจ้งความนะครับ เพราะแจ้งความไปแล้วไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร”
[ เช็กละเอียดทุกขั้นตอน ]
และในฐานะเจ้าของร้านทอง เขาก็ฝากคำเตือนไปถึงพี่น้องประชาชนว่าของมูลค่าสูงอย่างทอง พยายามอย่าซื้อทางออนไลน์เด็ดขาด เพราะเราไม่ได้เห็นของจริง เลยเป็นอะไรที่เสี่ยงจะโดนหลอกมาก
“การซื้อออนไลน์ มันเป็นจุดที่เสี่ยงสำหรับผู้บริโภคมากๆ เราไม่ได้เห็นสินค้าว่าเป็นทองประเภทไหน เขายกสร้อยมาอาจจะเป็นเงินชุบทองก็ได้ แล้วมีทองห้อยเล็กๆ เขาบอกว่านี่ทองแท้นะคะ ใช่ ไอ้ตัวเล็กๆ แต่ข้างบนเป็นเงิน
แล้วทองก็มีกระจ้อยนึง เป็นทอง 99 ทำมาจากงานอิเล็กโตรฟอร์มมิ่ง (Electro Forming) แล้วก็สร้อยจะเล็กมาก ใช้เป็นเงินชุบ ผมเห็นไลฟ์ขายกันเพียบ อย่าลืมว่าคุณซื้อมา คุณขายคืนไม่ได้ เขาไม่ได้รับซื้อคืน
ต้องเข้าใจว่าทองคำมันแพง แต่คนมีหลายชนชั้น มีหลายกลุ่มที่เขามีต้นทุนน้อย เขาก็จะเป็นเหยื่อได้ง่าย เส้นนี้มันสวยจังเลย 1,200 เอง ฉันมีกำลังซื้อ ถ้าซื้อออนไลน์ผมบอกได้เลย แม่ค้าจูงใจเก่งอยู่แล้ว แล้วเราก็ชอบของถูก
พอชอบของถูกก็จะกลายเป็นเหยื่อได้ ก็เตือนตรงนี้ไว้แล้วกันนะครับ อยากให้ผู้บริโภคอดใจหน่อย เก็บออมแล้วก็ไปที่ร้านทองดีกว่า ไปที่ร้านที่มีมาตรฐาน แล้วก็ออกใบการรับรองการซื้อคืนให้ด้วย”
[ เพราะเคยลำบาก จึงอยากแบ่งปัน ]
กว่าที่ชายหนุ่มนามว่า “นะโม” จะพาตัวเองเดินทางมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย บุคคลสำคัญที่บ่มเพาะให้เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ นั่นก็คือคุณตาคุณยาย ที่ปลูกฝังในเรื่องของธรรมะและการช่วยเหลือผู้อื่น จนในที่สุดสิ่งที่ทำก็ได้ผลิดอกออกผล และทำให้เขากลายเป็นช่างทองที่ทำธุรกิจเพื่อสังคมอย่างเช่นทุกวันนี้
“ผมก็จะขอบคุณตัวเองครับ ขอบคุณตัวเองที่เข้มแข็งกับทุกเรื่อง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขต่างๆ คุณตาคุณยายที่เป็นคนที่สร้างสมองผม ให้ผมเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบใคร ผมจะทำแต่ความดี ผมไม่กล้าทำความชั่ว
ผมไม่เคยคิดเลยนะครับว่าผมจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่เคยคิดจะมีเงิน 100 ล้านบาท ไม่เคยคิดจะเปิดร้านทองได้ ไม่เคยคิดแม้แต่ว่าเงินล้านจะได้จับหรือเปล่าชาตินี้ ยังไม่เคยคิดเลย เพราะว่าเราเป็นเด็กที่ได้จับเงินแค่ 2 บาทไปโรงเรียน
ผมไปทำบุญทุกอาทิตย์ แล้วก็ช่วยเหลือผู้ยากไร้ทั่วประเทศ ที่ผมจะต้องทำเป็นหน้าที่เลย ไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะหมดกำลัง ผมสร้างบ้าน สร้างห้องน้ำจนจำไม่ได้แล้วว่าทำให้ใครบ้าง เยอะมากๆ ผมคิดว่าบุญกุศลนั่นแหละทำให้ผมมาถึงจุดนี้
การทำธุรกิจ ผมอยากให้ทำด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แล้วก็ไม่อิงในเรื่องของยอดเงินมากเกินไป ผมอยากให้ทุกธุรกิจแบ่งปันความสุขให้กับลูกค้า แล้วผู้ที่เป็นผู้จัดการหรือผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็อยากให้มีความซื่อสัตย์ ให้มองเงินเป็นเรื่องทีหลัง นอกจากเงินแล้ว อยากให้มองเรื่องความมีคุณภาพ แล้วก็ความมีคุณธรรมในการทำงาน
ส่วนเรื่องการใช้ชีวิต ใช้ชีวิตยังไงก็ได้ให้ตัวเรามีค่าที่สุดกับคนรอบข้างและมีค่ากับตัวเอง ความทุกข์ ความสุขมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราจะอยู่กับความพอดียังไง ทำให้ชีวิตมันขับเคลื่อนไปได้ด้วยความพอดี แล้วเราจะได้ไปช่วยเหลือคนอื่นได้”
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : Facebook “ร้านทำทองนะโมบ้านช่างทอง เพชร ทอง & จิวเวอรี่”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **