เจาะวิถีเด็กเจเนอเรชั่นล่าสุด “GEN Beta” ยุคแห่งอนาคต ที่โตมาก็เจอกับ “เทคโนโลยีขั้นสูง” เลย ส่งให้ธุรกิจต้องปรับตัวกับ “ผู้บริโภคยุคใหม่” ที่ตัดสินใจด้วยเหตุและผล แต่อาจไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์!!
ฉลาด แต่อาจ “ขาด EQ”
ปักธงแยกรุ่นไว้ได้เลย เพราะเด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 68 นี้ คือ Generation ใหม่ ที่เรียกว่า “GEN Beta” ซึ่งเป็นเด็กที่โตมาพร้อมกับ “เทคโนโลยีขั้นสูง” ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้ง “AI” ,“VR” และ “หุ่นยนต์”
วิเคราะห์กันว่า ลักษณะของ “ชาว Beta” โดยภาพรวมแล้ว มีแนวโน้มจะ “สนใจเรื่อง AI” เพราะโตมาท่ามกลางเทคโนโลยี
บวกกับแนวคิด “ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เพราะ Beta คือผลิตของพ่อแม่ “GEN Y” และ “GEN X” ที่ตระหนักรู้ถึงเรื่อง “Climate Change”
นอกจากนี้ ยังน่าจะเป็นเด็กที่ให้ความสำคัญกับ “ความเท่าเทียม” เพราะ GEN ล่าสุดนี้จะโตมาในสังคมที่ “ยอมรับความแตกต่าง” และ “เข้าใจความหลากหลาย” ไม่ว่าจะเรื่องเพศ, ชาติพันธุ์ หรือสีผิว
และเมื่อพ่อแม่ของพวกเขาต้องเผชิญกับ “มิจฉาชีพ” หรือ “ภัยคุกคามทางไซเบอร์” เหล่าเด็กๆ ยุค Beta ก็จะมีความตระหนักเรื่อง “ความปลอดภัยทางออนไลน์” มากเพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ จากประสบการณ์ที่คนรุ่นก่อนสอนมา
ลองให้นักมานุษยวิทยา อย่าง “ต้น” อภินันท์ ธรรมเสนาผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ช่วยวิเคราะห์เพิ่มเติม ให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า
หลักๆ คือความรู้เรื่องเทคโนโลยีจะเป็น “ทักษะพื้นฐาน” ที่พวกเขามี บวกกับการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด จึงน่าจะได้เห็น “ความเป็นไปได้ใหม่ๆ” ที่คน GEN Beta เป็นคนสร้าง
และการที่ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน อย่างการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ทำให้ GEN Beta จะเป็นคนที่ “คิดเชิงตรรกะ” ตัดสินใจด้วยเหตุและผล “แต่นี่ก็อาจเป็นปัญหา”ในอีกมุมนึง
“Gen นี้ จะเป็นคนที่คิดแต่ในเชิงที่เป็นตรกระ แบบวิทยาศาสตร์เพียวๆ โดยที่จะไม่สนใจ ในแง่ของอารมณ์และความรู้สึก”
โดยอาจมองโลกหลักๆ ว่า มีแค่ “ถูก” กับ “ผิด” ซึ่งส่งผลมาจากการ “โตมากับเทคโนโลยี” เพราะสำหรับ GEN Beta ทั้งเรื่อง “เรียน”, “งาน”, “ความสัมพันธ์” และ “การใช้ชีวิต” สามารถทำได้บน“โลกออนไลน์” เป็นหลัก
“ปัญหาคือ เขาไม่ได้เห็นโลกของความสัมพันธ์ของคน ไม่เห็นความลำบากของคน เขาไม่เคยออกมานอกโลกของเทคโนโลยี”
จึงอาจทำให้เด็กๆ GEN Beta จำนวนไม่น้อย “ขาดความเข้าอก-เข้าใจ” คนอื่น หรือมี “EQ ต่ำ” ซึ่งคือข้อกังวลที่ผู้ใหญ่ยุคนนี้คาดการณ์เอาไว้ จากลักษณะการปฏิสัมพันธ์ ที่อาจไม่ได้ติดต่อกับคนจริงๆ มากนัก จึงส่งผลให้พวกเขาไม่เข้าใจ “ความซับซ้อนของมนุษย์”
“มันจะตัดความเห็นอกเห็นใจ ในความเป็นมนุษย์ออกไป ซึ่งเราคิดว่าคุณเติบโตทางเทคโนโลยีมากเลย แต่ในทางจิตใจ คุณไม่ได้รับการสร้างสรรค์ในส่วนนี้ขึ้นมา”
แต่ทั้งหมดนี้ “แก้ได้”อยู่ที่ผู้ปกครองว่าจะรับมือยังไงบ้าง คือถ้าปล่อยให้เด็กอยู่กับเทคโนโลยีอย่างเดียว พวกเขาอาจจะไม่เข้าใจ “มิติความสัมพันธ์” หรือการใช้ชีวิตในสังคมเลย กูรูรายเดิมจึงขอแนะผู้ปกครองว่า...
“มันต้องเปิดโอกาสให้เขาได้สัมผัส การเรียนรู้ที่มันออกมาจากเทคโนโลยีบ้าง เล่นกับธรรมชาติบ้าง สัมผัสกับชีวิตบ้าง ไม่ใช่อยู่ในโลกที่มันเป็นเทคโนโลยีอย่างเดียว”
{ “ต้น” อภินันท์ ธรรมเสนาจาก ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ }
“ชีวิต” ต้อง “ปรับแต่ง” ได้
แน่นอนว่าเมื่อการมาถึงของ Generation ใหม่อย่าง “GEN Beta” ที่สนใจทั้งเรื่อง AI ใส่ใจความเท่าเทียม และเป็นห่วงสิ่งแวดล้อม จึงเป็นเรื่องที่ภาคธุรกิจอาจต้องทำความเข้าใจ และปรับตัวกับพฤติกรรมของ “ผู้บริโภครุ่นใหม่” GEN นี้แต่เนิ่นๆ
และนี่คือมุมมองจากนักการตลาดชื่อดัง อย่าง “ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย”ที่วิเคราะห์ไว้ว่า ในปัจจุบันสิ่งที่คนต้องการคือ “สินค้า” “บริการ”หรือแม้กระทั่ง “งาน” ที่สามารถ “ปรับแต่ง” ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด
โดยความต้องพวกนี้ จะอยู่ใน GEN Beta ด้วย ซึ่งน่าจะหนักกว่าคนยุคก่อนๆ เริ่มจากเรื่อง “งาน” ที่เด็ก GEN นี้จะไม่ชอบทำในออฟฟิศ แต่จะเน้นแนวคิดที่ว่า “work from anywhere” เพราะเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกได้ ดังนั้นถ้างานไม่ตอบโจทย์ พวกเขาก็พร้อมย้ายหนีทันที
นอกจากนี้ กูรูยังวิเคราะห์ว่า เด็ก GEN ใหม่จะไม่สนใจที่จะซื้อ “บ้าน” หรือ “คอนโดฯ”ด้วยเหตุผลที่ว่ามันแพงเกินไป บวกกับพวกเขาจะย้ายที่อยู่ไปตามแหล่งงาน ดังนั้น “ธุรกิจเช่าบ้าน-เช่าคอนโดฯ” จึงน่าจะมาแรงในยุคที่พวกเขาเติบโต
{ “ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย”นักการตลาดชื่อดัง }
และเมื่อพวกเขาไม่สนใจสินค้าใหญ่ๆ อย่างอสังหาริมทรัพย์ “GEN Beta” จึงหันมาสนใจสินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของพวกเขา และสามารถปรับแต่งให้ตรงไลฟ์สไตล์ได้
“คนเหล่านี้ เขาต้องการอะไรที่เป็น personal experience ทำเพื่อเราโดยเฉพาะ”
ยกตัวอย่างเช่น “ห้างฯ-ร้าน”เมื่อลูกค้าเดินเข้ามา พวกเขาต้องรู้ทันทีว่า คนคนนี้ชอบสิ่งไหน สนใจเรื่องไหน หรืออยากได้บริการอะไร โดยเน้นความรู้สึกที่ว่า “มันถูกออกแบบมาเพื่อพวกเขา”
“ร้านนี้ แม่งทำเพื่อเรา คือถ้าไม่ขายประสบการณ์แบบนี้เนี่ย Beta ไม่เอานะ เพราะ Beta ทุ่มเทเรื่องพวกนี้ มากกว่าซื้อบ้าน-ซื้อรถ”
อีกเรื่องที่ภาคธุรกิจต้องรู้คือ GEN Beta จะไม่เลือกแค่จากตัวสินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่จะวิเคราะห์เชิงลึกถึงภูมิหลัง และรายละเอียดของบริษัทด้วย
เพราะเด็ก GEN นี้คือคนรุ่นที่ตระหนักถึง “Climate Change” และ “ความปลอดภัยทางไซเบอร์”เป็นหลัก
“ธุรกิจคุณปล่อย carbon footprint ไปเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นเนี่ย เรื่อง Climate Change เป็นเรื่องหลักเลย แล้วก็ของคุณเนี่ย เอาข้อมูลส่วนตัวผมไปใช้ไหม อะไรทำนองนี้”
และสิ่งที่จะมาพร้อมกับ GEN Beta แน่ๆ คือ “Metaverse” พื้นที่ที่โลก “ออฟไลน์” และ “ออนไลน์” ผสานเข้าด้วยกัน กูรูด้านการตลาดรายนี้จึงมองว่า นี่คือสิ่งที่ธุรกิจต้องปรับตัว ว่าจะทำยังไงให้ทั้ง 2 อย่างนี้ เชื่อมต่อกันให้ได้มากที่สุด
“จะต้องมี Metaverse จะต้องมี personal experience ขายประสบการณ์ จะต้องมีความยั่งยืน สินค้าหรือบริการ ต้องไม่ทำลายโลก อะไรทำนองนี้”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **