จัดการปัญหา “ชาวต่างชาติกร่าง” สยบความเรื้อรัง “แก๊งมาเฟียต่างประเทศ” ปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมเมืองไทยมายาวนาน ข้อมูลเผย “แก๊งอาชญากรข้ามชาติ” มีอิทธิพลมากว่า “มาเฟียไทย”!! ชวนกูรูหาคำตอบ อะไรทำให้ไทยกลายเป็น “แดนสวรรค์ของเหล่ามาเฟีย”!!
“มาเฟียต่างชาติ” ครองไทย เพราะเจ้าหน้าที่หนุน?
ประเด็นนี้ต้องย้อนกลับไปวิเคราะห์กันตั้งแต่เคส “ฝรั่งทำร้ายหมอ” ที่ภูเก็ตซึ่งช่วยปลุกกระแสสังคม ตั้งคำถามว่า อะไรทำให้ฝรั่งพวกนี้กร่าง จนไม่เกรงใจกฎหมายไทย หรือจะเป็นเรื่องของ “ผู้มีอิทธิต่างชาติในไทย”กันแน่?
อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรองนายกฯ พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “รับไม่ได้” เพราะขนาดผู้มีอิทธิพลคนไทย เรายังไม่ยอมกันเลย
“แล้วจะยอมให้ชาวต่างชาติ มีอิทธิพลและมาทำตัวเป็นมาเฟียได้ยังไง”
{"เดวิด"-เคสฝรั่งทำรายหมอ ที่ ภูเก็ต}
เมื่อประเด็นร้อนนั้นผ่านมา ผู้คนต่างวิเคราะห์กันว่า งานนี้ “มาเฟียข้ามชาติ” อยู่ไม่สุขในดินแดนไทยแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่า หลังจากข่าวนั้นผ่านไปไม่นาน กลับมีเหตุซ้ำในภูเก็ตอีก
โดยเคสล่าสุดคือ “ต่างชาติ 2 ราย รุมทำร้ายตำรวจ”แถมยัง “แย่งอาวุธเจ้าหน้าที่” จนทำให้เกิดปืนลั่นอีกต่างหาก ส่วนเหตุผลเบื้องหลัง เป็นเพราะไม่พอใจที่ถูกเรียกตรวจ ขณะขับรถมอเตอร์ไซค์
ตรวจสอบพบว่า “ฝรั่งกร่าง” ทั้งสองคือชาวนิวซีแลนด์ซึ่งถูกสั่งเพิกถอนวีซ่า พร้อมแจ้ง5ข้อหาหนักเรียบร้อยแล้ว
ยังมีอีกหลายเคสย้ำเตือนคำว่า “ฝรั่งกร่าง” ให้เห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ หลายคนวิเคราะห์กันว่า บ้านเรากำลังมีปัญหาเรื่อง“มาเฟียต่างชาติ”
เป็นไปในทิศทางเดียวกับข้อมูลของ “Global Organized Crime Index” ที่จัดอันดับให้ “ไทย” มีปัญหาอาชญากรรม อยู่ในอันดับที่ 44 จากทั้งหมด 193 ประเทศทั่วโลก
แต่ “ความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหา” อยู่ที่อันดับ 99 จากทั้งหมด 193 ประเทศและยังระบุอีกว่า ปัญหาอาชญากรรมหลักๆ ของไทยคือ ยาเสพติด, ค้าสัตว์ป่า, ค้ามนุษย์, ค้าอาวุธ และการพาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย
ส่วนกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้ ส่วนใหญ่คือ “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”หรือ “มาเฟียต่างชาติ” และ “เจ้าหน้าที่รัฐ”ที่แอบให้ความร่วมมือ จนทำให้มาเฟียเหล่านี้ มีอิทธิพลเหนือกว่า “มาเฟียท้องถิ่น”
ในข้อมูลยังบอกอีกว่า “ไทย” เป็นทั้ง “ต้นทาง” และ “ปลายทาง”ทั้งเรื่อง การค้ามนุษย์และแรงงานเถื่อน ที่มีการลักลอบเข้าเพื่อใช้แรงงานและขายบริการ ทั้งในไทย และส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ด้วย
หรือแม้แต่ “การค้าอาวุธ” ก็เช่นกัน “ไทย”ก็ถูกใช่เป็นทางผ่าน เพื่อส่งต่ออาวุธไปยัง “เมียนมาร์” ซึ่งมีเหล่ากองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และยังเป็นปลายทางสำหรับอาวุธจาก “กัมพูชา”ที่กำลังขายอยู่ใน ตลาดมืด ณ ตอนนี้
{ ข้อมูลจาก “Global Organized Crime Index” }
“ดร. โต้ง” รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต ช่วยวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้ ตามคำร้องขอของทีมข่าว
“จริงๆแล้ว มีหลายหลากนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแก๊งจีนเทา หรือแก๊งรัสเซีย ที่เข้ามากระผิดกฎหมายหลายรูปแบบ พวกยุโรปก็มี เยอรมันบางส่วนก็เคยถูกจับ กรณีเผยแพร่ภาพลามกอนาจารเด็ก”
และมักจะมาอยู่ตาม “เมืองใหญ่” หรือ “เมืองท่องเที่ยว” อย่าง “ภูเก็ต” และ “พัทยา” ลักษณะอาชญากรรม ที่คนเหล่านี้ทำ มีทั้งเรื่องฟอกเงิน, ยาเสพติด, ค้าบริการทางเพศ, ค้าปืนเถื่อน ขึ้นอยู่ว่าเป็นกลุ่มแก๊งไหน
โดยถ้าเป็นกลุ่มคนผิวสี มักจะเป็นเรื่องการหลอกหลวงเงิน, ผลิตแบงค์ปลอม หรือบางแก๊งก็รับทำพาสปอร์ตปลอม เพื่อใช้หลบหนีเข้าเมืองไปยังประเทศที่ 3 หรือเพื่อการค้ามนุษย์และแรงงานเถื่อน
ง่ายเพราะซื้อได้ด้วย “เงิน”
ส่วนเหตุผลที่ทำให้เหล่ามาเฟียต่างชาติ เลือกใช้ประเทศไทยเป็นฐาน และมักอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวนั้น นักอาชญาวิทยารายเดิมบอกว่า เหตุผลหนึ่งคือเมืองเหล่ามีชาวต่างชาติเยอะ และอีกเรื่องคือ...
“เขามาเพราะว่า กลไกลอำนาจรัฐในการจัดการเรื่องพวกนี้ของเรามักจะละเลย โดยเฉพาะเรื่องบังคับใช้กฎหมาย”
หน่วยงานท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง “ส่วนหนึ่งไม่มีความเข้มงวด” อย่างเคสล่าสุดที่ภูเก็ต ซึ่ง มีการรุกล้ำพื้นที่ชายหาด หรือธุรกิจรถเช่าที่ทำโดยคนต่างชาติ เรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีการตรวจสอบ
และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ “ไทย”กลายเป็น “สวรรค์ของเหล่ามาเฟียข้ามชาติ” เป็นเพราะ “การทุจริต” จาก “เจ้าหน้าที่”ที่มีการเรียกรับค่าตอบแทน “ทำให้คนเหล่านี้มองว่า เมืองไทยสามารถจ่ายได้”
{“ดร.โต้ง” นักอาชญาวิทยา}
แล้วเราไม่มีระบบคัดกรองชาวต่างชาติ ก่อนจะเข้าประเทศหรือ? เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ดร.โต้ง” อธิบายว่า ปกติมันจะมีสิ่งที่เรียกว่า “บัญชีดำ” ของตำรวจสากล ซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก และสามารถเช็กประวัติได้
ไทยเราเองก็มีระบบเผ้าระวังอยู่เหมือนกัน แต่ในกรณี “คนที่ไม่เคยถูกดำเนินคดี” หรือมีการละเมิดกฎหมาย แต่ไม่เคยถูกดำเนินคดี แล้วบินมาไทย พวกนี้จะไม่มีข้อมูลปรากฏขึ้นแจ้งเตือน
บวกกับระบบราชการของเราทำงาน “แบบตั้งรับ” คือถ้าไม่มีแจ้งข้อมูลที่เชื่อมโยงกับการค้ายาเสพติด, ฟอกเงิน หรือค้ามนุษย์ ก็จะไม่มีการตรวจสอบ
แต่ในต่างประเทศ หากมีข้อสงสัยว่า คนคนนี้ทำงานอะไร ถึงมีบ้านใหญ่โต มีรถหรู เขาก็จะตรวจสอบทันทีว่า เงินเหล่านั้นมาจากไหน อันนี้เรียกว่า “ทำงานเชิงรุก”
“อย่างของเราไม่มีตรงนี้ เวลาเกิดเรื่องที ก็ค่อยมาตรวจสอบกัน ถามหน่อยว่ากรณีภูเก็ต บันไดที่ยื่นไปในชายหาด ก่อนหน้านี้หน่วยงานท้องถิ่นไม่ทราบเลยหรือครับ”
ปัญหา “มาเฟียข้ามชาติ” หรือ “แก๊งอาชญากรต่างชาติ”ในไทย เป็นปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมมานาน ดร.โต้งบอกว่า เราต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ มีเจ้าหน้าที่รัฐมาเกี่ยวข้องจริงๆ และ องค์กรเหล่านี้ก็มีเม็ดเงินที่พร้อมจะจ่าย
“อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับความจริง พูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหากันไหม หรือต้องการให้สังคมเป็นแบบ ลูบหน้าปะจมูกกันต่อไป เรามักแก้ปัญหาแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ได้แก้เชิงระบบและโครงสร้าง”
เห็นได้จากขั้นตอนการปราบปรามผู้อิทธิพลไทยซึ่งส่วนใหญ่ ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดี หรือแม้แต่ยึดทรัพย์ก็ตาม
ทางออกคือนโยบายรัฐและระบบราชการต้องยกเครื่องใหม่ให้เข้มงวดและจริงจัง มีการติดตามนโยบาย ทุกขั้นตอน ทุกระดับ และต้องมีตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตอนนี้ปัญหานี้ยิ่งต้องให้ความสำคัญ เพราะรัฐบาลกำลังชูนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ภาพที่ต่างประเทศกำลังมองมาคือ เรื่องความปลอดภัยซึ่งกูรูรายเดิมคิดว่า “รัฐยังให้ความสำคัญน้อยเกินไป”
“ถ้าเรากระตุ้นการท่องเที่ยว เราต้องสร้างความตระหนักและแก้ไข เรื่องความปลอดภัยสาธารณะด้วยเช่นกัน”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : ocindex.net ,quora.com, เฟซบุ๊ก “กูอยู่ข้างในหลวง นาท คำบุญมี”, “Phuket Hotnews”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **