เจาะคดี "แม่ปุ๊ก" วางยาลูกเรียกเงินบริจาค ล่าสุดถูกตัดสินโทษ "ประหารชีวิต" แล้ว สังคมเห็นด้วย เพราะฆาตกรอำมหิตมาก แต่ตั้งคำถามว่า จะถูก "ประหารชีวิต" จริงตามศาลตัดสิน หรือถูกลดโทษเหลือเพียง "จำคุก" อย่างหลายเคสที่ผ่านมา?
ย้อนรอย “แม่ปุ๊ก” อำมหิต วางยาลูก-เรียกเงิน!!
“ปกติคนเราแม่จะไม่ฆ่าลูก แต่เคสนี้แม่หวังเงินในการที่จะรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือลูก และวางแผนกรอกยา ทำให้เด็กทรมาน เพราะว่าต้องกินยาทุกวัน จนกระทั่งเด็กเสียชีวิต
เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่โหดร้าย และคนธรรมดาทั่วไปเขาไม่ทำกัน โดยเฉพาะมีสายสัมพันธ์ที่เป็นแม่ลูก ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และสังคมค่อนข้างจะจับตาดูอยู่ ว่าจะมีการลงโทษเด็ดขาดแค่ไหน…”
“รัชพล ศิริสาคร” ทนายชื่อดัง เจ้าของเพจ “สายตรงกฎหมาย” ได้มาช่วยวิเคราะห์ ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อกฎหมาย แก่ทีมข่าว MGR Live
สืบเนื่องจากกรณีที่อยู่ในความสนใจของผู้คนในสังคม กับคดีอำมหิต "แม่ปุ๊ก" ลวงโลก ให้ลูกกินน้ำยาล้างห้องน้ำจนป่วย ถ่ายรูปโพสต์ขอบริจาค มีเงินหมุนเวียนกว่า 20 ล้านบาทในช่วงเวลา 2 ปี และทำให้เด็กหญิงวัย 4 ขวบเศษเสียชีวิต ส่วนเด็กชายวัย 2 ขวบเศษบาดเจ็บสาหัส
สร้างความสลดแก่คนในสังคมอย่างมาก ความเหี้ยมโหดนี้ส่งให้ล่าสุดศาลอาญา ได้มีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต “แม่ปุ๊ก” สถานเดียว
ทว่า ทีมข่าวตรวจสอบรอยคดีสะเทือนขวัญพบว่า เมื่อ 5 ปีก่อน แม่ปุ๊กเป็นที่รู้จักในโซเชียลมีเดียช่วงปลายปี 60 ได้เปิดเพจขายของออนไลน์ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว
ถูกสามีทิ้ง มีลูกทั้งหมด 2 คน คนโตผู้หญิงชื่อน้องอมยิ้ม คนเล็กผู้ชายชื่อน้องอิ่มบุญ และได้โพสต์ว่าลูกคนโตป่วยเพราะรับประทานอาหารทะเล เนื่องจากมีอาการหน้าตาบวม ปากคอบวม และอาเจียน ซึ่งแม่ปุ๊กให้ข้อมูลว่าก่อนหน้านี้น้องรับประทานอาหารทะเลเข้าไป หมอจึงสันนิษฐานว่าน้องแพ้อาหารทะเล
จนต่อมาในปี 62 อ้างว่าลูกสาวป่วยเรื้อรังต่อเนื่อง อาเจียนเป็นเลือด ป่วยเป็นโรคประหลาด คือ “เรนินโนมาห์” มีเพียง 1 คน ในล้านเท่านั้น ต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษา จนมีคนสงสารช่วยซื้อของ และบริจาคเงินให้
หลังจากนั้นมีการอัปเดตอาการป่วยของน้องอมยิ้มอย่างต่อเนื่อง เริ่มไลฟ์ขอรับความช่วยเหลือให้ช่วยกันอุดหนุนสินค้าต่างๆ ที่ขาย รวมทั้งให้หมายเลขบัญชีเพื่อขอรับบริจาคเป็นค่ารักษาพยาบาล
โดยจะไลฟ์หรือโพสต์รูปอัปเดตอาการป่วยของลูกตลอด แม้แต่ตอนน้องอาเจียน ทำให้หลายคนเสียน้ำตาให้กับชะตากรรม และมีคนชื่นชมในความใจสู้ ไม่ยอมแพ้ของแม่ลูกคู่นี้
จนเพจต่างๆ ขออาสาเป็นสะพานบุญ แต่สุดท้ายน้องอมยิ้มได้จากโลกนี้ไปเพราะตับวายเฉียบพลัน ยังไม่จบแค่นั้น ยังไลฟ์สดสร้างเรื่องราวสะเทือนใจ ด้วยการเล่านิทานร้องเพลงกล่อมน้องอมยิ้ม จนค่อยๆ หมดลมหายใจ
กระทั่งความเห็นอกเห็นใจได้หมดลง เมื่อถูกทวงถามสินค้าหลังโอนเงินแล้วไม่ได้ของ พบพิรุธทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกๆ จากหญิงรายนี้ที่เคยให้การช่วยเหลือมาโดยตลอด เพราะงานศพน้องอมยิ้ม ไม่มีการระบุชื่อจริง และวันเดือนปีเกิดในรูปถ่ายหน้าศพ
เช่นเดียวกันนี้ เมื่อปี 63 เธอออกมาโพสต์ว่า น้องอิ่มบุญ ลูกชายคนเล็กป่วย มีอาการเหมือนลูกสาวคนโตที่เสียชีวิต และขายของออนไลน์ เปิดรับบริจาค สร้างความน่าสงสารอีกครั้ง
แต่การขายของครั้งนี้กลับไม่สม่ำเสมอ จนหลายคนเริ่มสงสัย ออกมาแฉและอ้างว่า แม่วางยาลูกโดยไม่ระบุชื่อว่าเป็นใคร กระทั่งถูกเธอแจ้งความหมิ่นประมาท
ทั้งนี้ ได้มีคนทยอยแจ้งความแม่ปุ๊ก ข้อหาฉ้อโกง เพราะโอนเงินซื้อสินค้าแล้วไม่ได้ของ ขณะแพทย์ที่รักษาน้องอิ่มบุญพบว่าทั้งหลอดอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบรุนแรง มีแผลในปาก ในลำไส้ และกระเพาะอาหาร จากการโดนสารเคมีออกฤทธิ์กัดกร่อน
เพราะมีอาการผิดปกติคล้ายกับน้องอมยิ้มที่เสียชีวิตไป ทำให้เกิดความสงสัย จึงตัดสินใจนำหลักฐานเข้าแจ้งความต่อตำรวจ และสืบสวนเพิ่มเติมให้เข้ามาตรวจสอบและดูแลน้องอิ่มบุญลูกชายคนเล็ก
สุดท้ายความจริงปรากฏ จากสิ่งที่แม่ปุ๊กกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์จากเด็กในการรับเงินบริจาค จนมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 20 ล้านบาท ที่ดูจะไม่สอดคล้อง พิรุธเพียบ และผิดธรรมชาติของผู้เป็นแม่ที่แท้จริง
คนมีอำนาจรอดผิด-โทษประหารไม่มีจริง!?
แน่นอนว่าเหตุสุดสะเทือนใจที่เกิดขึ้นถูกเผยแพร่ออกมาก็กลายเป็นข่าวดังในประเทศทันที ท่ามกลางเสียงสะท้อนสังคมทั้งความรู้สึกสลด และไม่เชื่อมั่นใน “กฎหมาย” บ้านเรา จะมีอำนาจทำให้มีโทษประหารในประเทศไทย
เพราะ "โทษประหารชีวิต" ส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับโทษตามที่ถูกตัดสิน พอผ่านไปสักระยะก็ให้ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต และอาจลดลงไปเรื่อยๆ ตามวาระความคดี
อย่างเคส คำพิพากษาประหารชีวิตอดีตผู้กำกับโจ้ (พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล) และแก๊งลูกน้องอีก 6 ราย แต่ลดโทษเหลือ “จำคุกตลอดชีวิต” ส่วนอีก 1 รายได้รับโทษ “จำคุก 5 ปี 4 เดือน” ในคดีรุมยำพ่อค้ายา ใช้ถุงดำครอบศีรษะ พร้อมซ้อมทรมาน จนเป็นเหตุให้เหยื่อถึงแก่ความตาย ในพื้นที่ สภ.เมืองนครสวรรค์
ผ่านสายตาของทนายรัชพลมองว่า หากเป็นที่จับตาของสังคม พิจารณาออกหมายจับแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นใครที่กระทำความผิด
“ผมว่าไม่ได้มีทุกเคสที่ว่ามีเงินแล้วจะรอดได้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นไปได้อยู่ ที่ว่ามีเงิน แล้วมีโอกาสที่จะไปติดสินบน หรือจะไปจ้างทนายเก่งๆ มาทำคดีก็ได้
แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ทุกเคส อย่างบางเคสที่นักข่าวให้ความสนใจ หรือประชาชนให้ความสนใจ มันก็ไวต่อการตรวจสอบรอบด้าน เพราะฉะนั้นการทุจริต การยัดสินบนก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อย ในส่วนกระบวนการยุติธรรม บางทีถ้ามีการตรวจสอบเยอะๆ ก็น่าเชื่อถือพอสมควรครับ”
โดยมีความผิดในข้อหาค้ามนุษย์ฯ เพื่อแสวงหาประโยชน์ฯ จากการนำคนมาขอทานฯ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตาย
พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นฯ ทำการขอทานฯ, ฉ้อโกงฯ, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฯ, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ชักจูงฯ ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการขอทาน ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และการรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน จึงไม่ลดโทษให้
“มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าพฤติการณ์ค่อนข้างจะร้ายแรง เพราะว่าเป็นการฆ่าลูกของตัวเอง มีสิทธิ์ที่ศาลเขาจะประหารชีวิตจริงๆ ได้
ถามว่าโทษประหารมีจริงไหม เมื่อปี 61 ก็มีเคสที่ว่าไปฆ่าชิงทรัพย์ แล้วแทงไป 20 กว่าแผล ศาลก็สั่งประหารชีวิตเลย และทางกรมราชทัณฑ์ก็ออกมาชี้แจงว่ามีการประหารชีวิตจริงๆ เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เป็นไปได้อยู่ ที่ว่าศาลอาจจะตัดสินประหารชีวิต
การประหารชีวิตก็ดูจากการกระทำต่างๆ ดูจากข้อเท็จจริงต่างๆ อย่างแม่ฆ่าลูกอย่างคดีนี้ ผมว่ามีโอกาสสูงที่จะมีการประหารชีวิต ศาลก็มองว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และไม่ควรปล่อยไว้ครับ”
นอกจากนี้ ทนายรายเดิมยังฝากเตือนใจทิ้งท้ายให้คดี “แม่ปุ๊ก” เป็นตัวอย่างเรื่องการทำความผิดกฎหมาย ที่ไม่ควรทำตาม
“คดีแม่ปุ๊ก คือต้องบอกว่าคนเรามันมีหนทางที่จะหาเงิน อย่าคิดทำอะไรที่มันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะถ้าลงมือทำไป สุดท้ายแล้วตัวเองต้องติดคุก เพราะฉะนั้นก็ฝากเตือนมานะครับ”
อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดแล้วจุดจบของ #แม่ปุ๊ก จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความยุติธรรมให้แก่สังคมได้หรือไม่นั้น ก็ต้องรอผลสรุปกันต่อไป
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **