1.ผู้การฯ นนท์ ชี้ นร.ถูกยิงดับในห้องคอมฯ จากเหตุปืนลั่น ด้าน "แม่ผู้ตาย" ไม่เชื่อ เพราะตอนแรกให้การว่าตั้งใจยิง เตรียมเอาผิดให้ถึงที่สุด!
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. เวลา 14.00 น. ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ได้รับแจ้งเหตุ คอมพิวเตอร์ในห้องเรียนระเบิดใส่นักเรียน ทำให้มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ที่โรงเรียนวัดลาดปลาดุก ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทุบรี
ที่เกิดเหตุเป็นห้องเรียนคอมพิวเตอร์ พบคีย์บอร์ดมีการระเบิดปุ่มหายไปหลายปุ่ม แต่หน้าจอคอมไม่มีร่องรอยของการระเบิด ทราบชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บคือ ด.ช.นพศิลป์ งามสุด หรือน้องโชค อายุ 15 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้าสาหัส บริเวณคิ้วซ้ายมีบาดแผลแตกลึกเห็นกระดูกยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร เจ้าหน้าที่กู้ภัยปอเต็กตึ๊งเร่งปั้มหัวใจ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ด้าน น.ส.ศศินา รักปาน ครูประจำวิชาคอมพิวเตอร์ เล่าว่า เหตุเกิดช่วงประมาณ 13.30 น. ก่อนหน้านี้มีนักเรียนชั้น ม.2 เข้าเรียนและใช้เครื่องคอมฯ ดังกล่าวก็ไม่มีปัญหาอะไร พอหมดคาบเรียนของนักเรียนชั้น ม.2 ตนก็ให้นักเรียนชั้น ม.3 เข้ามาเรียนต่อ ตอนนั้นตนนั่งอยู่หน้าห้อง นักเรียนชั้น ม.3 ก็ทยอยเดินเข้ามาในห้องและนั่งประจำโต๊ะ โดยจุดที่ระเบิดอยู่ด้านในเป็นเครื่องที่สองนับจากริมข้างใน ตอนนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ตนจึงรีบวิ่งไปดู ปรากฏว่า พบนักเรียนนอนอยู่ที่พื้นไม่เคลื่อนไหว มีเลือดออกมาเต็มไปหมด ตนจึงรีบบอกให้นักเรียนวิ่งออกไปแจ้งครู และได้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยทันที โดยคอมพิวเตอร์ที่ระเบิดเป็นเครื่องใหม่ที่โรงเรียนเพิ่งจะซื้อมา และเพิ่งจะเริ่มให้นักเรียนได้ใช้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้เอง
ด้าน ด.ช.ไกรวิชญ์ เพื่อนผู้เสียชีวิต ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ น้องโชค ผู้เสียชีวิต ตอนที่คีย์บอร์ดระเบิดใส่ เล่าว่า ก่อนที่จะเกิดการระเบิด โชคเข้ามานั่งและกำลังเปิดเครื่องคอมพ์ พอเปิดมาได้ประมาณ 10 นาที ก็ระเบิดขึ้น เห็นเพื่อนอีกทีคือลงไปนอนอยู่ที่พื้นแล้ว ส่วนตนเองหูอื้อ เพราะเสียงระเบิดดังมาก ส่วนเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ที่คอมพ์เครื่องแรกทางฝั่งซ้ายมือของโชคก็โดนสะเก็ดอะไรบางอย่างเข้าที่หน้า แต่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก
ต่อมา ช่วงเย็นวันเดียวกัน พ.ต.อ.ภูมิธัช โฆษิตวนิชพงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ได้เดินทางเข้าสอบปากคำเพื่อนนักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนเผยว่า ได้สั่งฝ่ายสืบสวน สภ.บางบัวทอง ดูร่องรอยบาดแผลใหม่อีกครั้ง พบเป็นรอยกระสุนปืนเจาะที่เบ้าตา ด.ช.นพศิลป์ ผู้เสียชีวิต ก่อนคุมตัวเพื่อนน้องนพศิลป์ไปสอบสวน โดยมีรายงานว่า เพื่อนผู้ตายยอมรับว่า พกปืนปากกาไทยประดิษฐ์เข้าไปในห้องคอมพิวเตอร์แล้วเกิดลั่น
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง ได้ลงพื้นที่ตรวจค้นบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง หลังสอบปากคำเพื่อนนักเรียนชายร่วมชั้นกับผู้เสียชีวิตแล้วพบว่า มีพิรุธ จึงสอบเค้นอย่างละเอียด จนเพื่อนนักเรียนชายร่วมชั้นเรียนกับผู้ตาย ให้การรับสารภาพว่า ได้ขโมยอาวุธปืนลูกโม่ขนาด .38 จากพระวัดลาดปลาดุก ซึ่งรู้จักสนิทสนม มาเพื่อเคลียร์ปัญหากับเพื่อนนักเรียนผู้ตาย ก่อนจะตัดสินใจควักอาวุธปืนที่เตรียมมาจ่อยิงศีรษะด้านหลัง ขณะกำลังนั่งเรียนคอมพิวเตอร์ ทำให้กระสุนถูกศีรษะทะลุไปออกเหนือคิ้วตาซ้าย ก่อนกระสุนจะไปถูกแป้นคีย์บอร์ดจนได้รับความเสียหายตามภาพที่ปรากฏออกมา
โดยผู้ก่อเหตุรับสารภาพอีกว่า หลังเกิดเหตุช่วงชุลมุนได้โทรศัพท์หาเพื่อนสนิทคนหนึ่งให้มาที่โรงเรียน เพื่อนำเอาอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุไปซ่อน ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่ติดตามค้นหาอาวุธปืนที่ผู้ก่อเหตุและเพื่อนเอาไปทิ้งคลอง กระทั่งพบปืนในที่สุด
ทั้งนี้ ตำรวจได้เชิญตัว พระคำนึง นิมมโล พระวัดลาดปลาดุก มาสอบปากคำ ซึ่งพระคำนึง ยืนยันว่า ปืนดังกล่าวไม่ใช่ของตน ไม่รู้ว่าเด็กไปเอามาจากรุ่นพี่คนไหน และเด็กก็ไม่เคยมาพูดหรือปรึกษาว่า มีปัญหาอะไรกับเพื่อนเลย
วันต่อมา (16 ก.ย.) ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ได้สอบปากคำนายต้า (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ที่นำอาวุธปืนปากกา หรือปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด.38 มาที่โรงเรียนก่อนเกิดเหตุที่อ้างว่าปืนลั่น ทำให้น้องโชค อายุ 15 ปี เพื่อนนักเรียนห้องเดียวกันเสียชีวิต รวมทั้งสอบปากคำเพื่อนและรุ่นพี่ที่อยู่ในเหตุการณ์และมีส่วนช่วยเหลือนำอาวุธปืนไปทิ้งรวมทั้งหมด 6 คน
ด้าน พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ได้เดินทางมาที่ สภ.บางบัวทอง พร้อมเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ก่อนออกมาเผยว่า ทราบว่า ก่อนที่ปืนจะลั่น น้องนักเรียนที่พกปืนได้นำปืนแอบพันใส่เสื้อกันหนาวไว้เข้ามาในห้องเรียน แต่จังหวะที่กำลังลุกขึ้นยืนอยู่ และกำลังจะคลี่เสื้อกันหนาวออกมาใส่ ปืนได้ลั่น กระสุนเข้าไปที่หน้าของน้องนักเรียนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะคอมพ์จนเสียชีวิต ซึ่งในที่เกิดเหตุ มีเพื่อนอยู่ด้วยกัน 4 คน
ส่วนน้องนักเรียนทำไมต้องพกปืนมาโรงเรียน เพราะต้องการนำไปขู่คู่อริในโรงเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยนำปืนเข้ามาโรงเรียนแล้วหลายครั้ง ส่วนปืนดังกล่าวก็เป็นของเพื่อนรุ่นพี่ ที่มีความรู้ทางช่างทำปืนไทยประดิษฐ์ .38 ขึ้นมาเอง
เบื้องต้นได้ควบคุมตัวรุ่นพี่ทั้ง 5 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไว้แล้ว โดยรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของปืน ได้แจ้งข้อหากล่าวหา มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และรุ่นพี่ที่เอาปืนไปทิ้งในคลอง แจ้งข้อหากล่าวหามีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหรือทางสาธารณะ ส่วนรุ่นพี่ที่เหลืออีก 4 คน แจ้งข้อกล่าวหา ช่วยกันทำลายหลักฐาน ส่วนน้องนักเรียนที่ทำปืนลั่น แจ้งข้อกล่าวหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับวิถีกระสุน พบว่า กระสุนเข้าจากทางด้านหลังศีรษะทะลุออกมาที่เบ้าตาน้องที่เสียชีวิต แต่ต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบโดยละเอียด เบื้องต้นพบว่าเสื้อกันหนาวของน้องนักเรียนที่พกปืนมามีร่องรอยรูกระสุนปืนทะลุออกมาจริง ส่วนของคีย์บอร์ดที่แตกหรือพัง ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดว่าได้รับความเสียหายจากอะไรต่อไป
ทั้งนี้ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี ได้รับคำร้องขอตรวจสอบการจับในคดี ระหว่างพนักงานสอบสวน สภ.บางบัวทอง กับนักเรียน อายุ 15 ปี ผู้ต้องหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฯลฯ โดยพฤติการณ์แห่งคดี คือเมื่อวันที่ 15 ก.ย. เวลาประมาณ 14.00 น. ผู้ต้องหานำอาวุธปืนพกสั้นแบบไทยประดิษฐ์ เข้ามาในโรงเรียนในช่วงเช้า และช่วงบ่ายในชั่วโมงเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ผู้ต้องหาได้นำอาวุธปืนห่อด้วยเสื้อกันหนาวเข้าไปในห้องเรียน และได้ทำอาวุธปืนดังกล่าวหล่นลงพื้น แล้วปืนลั่นกระสุนปืนไปถูกนายนพศิลป์ งามสุด เสียชีวิต ด้วยกลัวความผิด ผู้ต้องหาได้โทรศัพท์ให้เพื่อนรุ่นพี่มารับอาวุธปืนไปซ่อน
ซึ่งศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา โดยตีหลักประกันเป็นเงินสด วงเงินจำนวน 10,000 บาท โดยมีมารดาเป็นผู้ประกัน
ด้าน น.ส.พัชรี โพธิ์ทอง และนายวิเชษฐ์ หัตศิลป์ พ่อแม่น้องต้าที่อ้างว่าทำปืนลั่นใส่น้องโชคเสียชีวิต เผยว่า ดีใจที่ลูกได้ประกันตัวกลับบ้าน และก็เสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียด้วย และว่า หลังจากนี้พ่อแม่จะดูแลน้องเอง ศาลให้อยู่ในความควบคุมของพ่อแม่ไม่ให้ไปอยู่กับพระ หลังจากนี้ พ่อจะเป็นคนไปส่งน้องไปโรงเรียนเอง จะไม่ให้เขาใช้รถส่วนตัวและดูแลเขาเอง ห้ามเที่ยว ห้ามออกกลางคืน
ด้าน น.ส.ปวีณา แม่ และนายประเสริฐ แก้วมณี ตาของน้องโชค ที่เสียชีวิตด้วยอาวุธปืนภายในห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เผยหลังเดินทางเข้ารับศพลูกชายที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ว่า น้องโชคเป็นลูกชายคนเดียวของตน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ปืนจะลั่น ทางครอบครัวอยากได้ความจริง บาดแผลมีอยู่แล้วว่ากระสุนเข้าตรงไหนออกตรงไหน ตอนแรกตามคำให้การผู้ก่อเหตุบอกว่า ตั้งใจเลย แต่พอมาเปลี่ยนเป็นว่า ปืนลั่น ต้องให้ทางตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดว่า มันเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะความจริงก็คือความจริง “ตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นปืนลั่น ยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด...”
ขณะที่นายประเสริฐ แก้วมณี ผู้เป็นตาเปิดเผยว่า ทางครอบครัวประสานทนายความไว้แล้ว เพื่อเตรียมดำเนินคดีกับคู่กรณีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด
2.ปชป.-ฝ่ายค้าน ดันสภาถอนร่าง กม.กัญชา ชี้เปิดช่อง ปชช.ปลูกเสรี ด้าน กมธ.ฯ วอนอย่าเล่นการเมือง จี้พรรคที่ให้ถอนร่าง ส่งประเด็นทักท้วงใน 7 วัน!
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. เวลา 15.45 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่คณะ กมธ.วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ในวาระสอง โดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ขอหารือก่อนเข้าสู่การพิจารณาว่า ร่างเดิมมี 45 มาตรา แต่มีการเพิ่มขึ้นใหม่ 69 มาตรา และมีการตัดทอนเกือบทุกมาตรา จึงเสนอให้นำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปปรับปรุงหรือทบทวนอีกครั้ง และว่า จากการพิจารณาในเนื้อของกฎหมายมีลักษณะที่ไม่ได้เป็นการควบคุมหรือใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จึงมีการเรียกร้องให้เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีก หรือการให้ประชาชนสามารถปลูกได้โดยเสรีเพียงแต่จดแจ้งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ทางการแพทย์ แต่เป็นเรื่องนันทนาการ จึงอยากให้ กมธ.รับฟังความเห็นของสังคมและความห่วงใย จะเกิดประโยชน์และรอบคอบที่สุด
ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตนเห็นด้วยให้ กมธ.ถอนร่างออกไปทบทวนใหม่ เพราะการแก้ไขในตัวร่างฯ มีการแก้ไขเยอะมากที่สุด จนเป็นที่น่าวิตกว่า ควรจะรอบคอบกว่านี้หรือไม่ และเห็นว่า การแก้ไขเลยไปจากหลักการมาก และต้องยอมรับว่า กฎหมายฉบับนี้คือทำให้กัญชาเสรี จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลแบบสุดโต่ง ส่วนที่บอกว่าจะส่งเสริมรายได้เกษตรกร ก็ยิ่งห่างไกลเข้าไปอีก
ขณะที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะ กมธ. ชี้แจงยืนยันว่า ทางคณะ กมธ. พิจารณาร่างกฎหมายดีที่สุด และได้กำหนดมาตรการป้องกันไว้แล้ว เรารับฟังเสียงจากทุกภาคส่วน จึงเป็นร่างกฎหมายที่สมบูรณ์ที่สุดและมีการอุดช่องโหว่ เป็นกฎหมายที่ดี จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องถอนร่างออกไป จะบอกว่าให้กลับไปแก้ไข ตนก็ไม่รู้ว่าจะแก้อะไรเช่นกัน
จากนั้น นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาคนที่หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม สั่งให้ที่ประชุมเดินหน้า เนื่องจากนายศุภชัย ในฐานะประธานคณะ กมธ. ยืนยันไม่ถอนร่างกฎหมาย ทำให้นายสาทิตย์เสนอญัตติว่า ขอให้ที่ประชุมลงมติถอนร่างออกไป ขณะเดียวกัน นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ก็ได้เสนอญัตติขอให้ที่ประชุมเดินหน้าพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไป
ซึ่งในที่สุด ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ได้มีมติให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกจากระเบียบวาระการประชุมสภา ด้วยคะแนน 198 ต่อ 136 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง
ทั้งนี้ วันต่อมา (15 ก.ย.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่ได้คัดค้านร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง โดยเฉพาะการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือใช้เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่มีเจตนาที่ต้องการเห็นเนื้อหาในการกำกับควบคุมการใช้กัญชา ให้อยู่ในกรอบที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า “หากเมื่อวานนี้ (14 ก.ย.) ไม่ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป อาจทำให้ร่างกฎหมายค้างอยู่ในการพิจารณาของสภา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงให้เกิดความรอบคอบรอบด้านได้ แต่หากถอนออกไป สามารถจะทำให้แก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมายได้ เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการถูกคว่ำในวาระ 2-3”
เมื่อถามว่า มีการข้อสังเกตว่า การเสนอให้ถอนร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ เป็นเกมการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล ในการตัดคะแนนนิยมทางการเมือง นายสาทิตย์ ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องที่มาตัดแข้งตัดขากัน และไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่ประชุมสภาฯ มีมติถอนร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขว่า แปลกตรงที่เป็นการกดดันให้ถอนร่าง ทั้งที่ยังไม่เริ่มพิจารณาแม้แต่มาตราเดียว ซึ่งตนขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุข คิดไว้หมดแล้วว่า อาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะจะทำให้บางพรรคมีแต้มทางการเมืองสูง ที่ผ่านมา เลยใช้ประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปดูแลการใช้ ต่อให้ พ.ร.บ.ค้างอยู่ในสภา ก็มีทางออกด้วยการออกประกาศกระทรวงฯ เพื่อให้เกิดความรัดกุม ต้องไปดูว่าในร่าง พ.ร.บ.นี้ มีเนื้อหาอย่างไรบ้าง แล้วออกประกาศกระทรวงตามนั้น ทำเท่าที่ทำได้
ด้าน กมธ. วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ได้ประชุมเมื่อวันที่ 16 ก.ย. เพื่อทบทวนเนื้อหาตามที่สภาฯ ลงมติให้ถอดเนื้อหากลับไปพิจารณาใหม่ หลังประชุม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะ กมธ.วิสามัญฯ แถลงว่า กมธ.มีมติให้ส่งหนังสือไปยังทุกพรรคการเมืองที่ลงมติให้ถอดร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากระเบียบวาระการประชุม และขอให้ส่งประเด็นที่ทักท้วงให้ กมธ.พิจารณาภายใน 7 วัน และ กมธ.จะนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 3 ต.ค. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง และว่า การประชุมของ กมธ. ยังไม่เห็นประเด็นใดที่ควรแก้ไข เพราะเนื้อหาที่ ส.ส.อภิปรายเมื่อวันที่ 14 ก.ย.นั้น เป็นประเด็นที่ กมธ.พิจารณาไปหมดแล้ว ไม่มีประเด็นใหม่
“กมธ.มองว่าสภาไม่ควรประวิงเวลา หากไม่เห็นด้วยกับมาตราที่ กมธ.แก้ไข ควรใช้การพิจารณาและลงมติว่าจะเห็นชอบหรือจะแก้ไขเนื้อหาตามที่มีผู้สงวนคำแปรญัตติ ไม่ควรเล่นการเมือง อย่างไรก็ดี กมธ.ไม่มีการหารือว่าควรให้สภาฯ เปิดประชุมสมัยวิสามัญหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องของวิปสภาฯ ที่ต้องพิจารณา”
3. “ดีเจแมน-ใบเตย” เข้ารับทราบข้อกล่าวหา คดี Forex-3D แล้ว ด้าน "กระทิง-บอล" ปัดเป็นแม่ข่าย อ้างเป็นเหยื่อเช่นกัน หากผิด พร้อมออกจากวงการ!
ความคืบหน้าคดี Forex 3D ที่ฉ้อโกงประชาชน 2,500 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ดาราสาว พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช พร้อมด้วยแม่และพี่ชายถูกดำเนินคดี และขณะนี้ถูกคุมขัง เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัว นอกจากนี้ยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายรายที่ถูกเรียกเข้าสอบ โดยเมื่อวันที่ 14 ก.ย. นายพัฒนพล มินทะขิน หรือดีเจแมน และ น.ส.สุธีวัน กุญชร หรือใบเตย ภรรยา ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา 3 ข้อหา ฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกง ในคดีลงทุนหุ้น Forex 3D
นายพัฒนพล กล่าวว่า ที่มาพบเจ้าหน้าที่ก่อนกำหนด (15 ก.ย.) เพราะได้รวบรวมหลักฐานมาพอสมควรแล้ว แต่มีประเด็นละเอียดอ่อนที่เพิ่งทราบหลายเรื่อง จึงมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ตอนนี้ก็สบายใจ
ด้านทนายความ เผยว่า ได้มาตอบข้อซักถามที่พนักงานสอบสวนสงสัย ซึ่งรายละเอียดอยู่ในสำนวน แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ตอบไม่ได้ว่าเป็นประเด็นเส้นทางการเงินหรือไม่ ยืนยันว่าลูกความตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์
เป็นที่น่าสังเกตว่า เพจรวบรวมผู้โดนโกง จาก Forex-3d ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า มีพระเอกดังช่อง 3 เป็นหนึ่งในแม่ทีมในคดี Forex-3D โดยมีลูกข่าย 14 คน และยังมีดาราช่อง 3 อีกหนึ่งคน ที่มีลูกข่าย 17 คน โดยทางเพจได้ติดต่อไปยัง “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” พิธีกรรายการ โหนกระแส พร้อมทั้งขีดเส้นตาย ให้เชิญ พระเอกคนดังกล่าวมาออกรายการในวันที่ 15 ก.ย. หากไม่ยอมมาออกรายการจะเปิดชื่อก่อน เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนและทีมนักข่าวไปซักถามดีเอสไอ ในวันที่ 15 ก.ย.
จากนั้นทางเพจได้โชว์ภาพ ที่บอกว่าเป็นแชตที่ทางทีมงานโหนกระแส รายงานว่า…ไม่สะดวกมาร่วมรายการ เพจจึงเปิดชื่อพระเอกคนดัง โดยระบุว่า “กระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์” เป็นแม่ข่ายที่มีลูกทีมถึง 14 คน ซึ่งหนึ่งในลูกข่ายของกระทิงมีรายชื่อนักแสดงช่อง 3 “บอล กัมมัญญ์ กลมแก้ว” มีลูกข่าย 17 คนรวมอยู่ด้วย
ปรากฏว่า รายการโหนกระแสเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ได้สัมภาษณ์ “กระทิง ขุนณรงค์” และ “บอล กัมมัญญ์” โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มาร่วมรายการด้วย
ทั้งนี้ ทั้งกระทิงและบอลต่างยืนยันว่า ตนเองเป็นเหยื่อ Forex-3D ไม่ได้มีการชักชวนหรือแนะนำใครให้มาร่วมลงทุนหรือเป็นลูกข่าย โดยกระทิง กล่าวว่า “ผมไม่ได้ชักชวน เขาเป็นแนวว่าทิงเล่นอะไรอยู่ ผมก็บอกว่าทิงเล่น Forex เขาถามว่ามันเล่นยังไง ทิงก็บอกว่าเหมือนเอาเงินเข้าไปเฉยๆ เดี๋ยวเอไอมันเทรดให้เอง แบ่งกัน 60-40 ผมก็พูดไปแบบนี้ แต่ไม่เคยพูดว่าพี่มาลงทุนกับผมนะ ได้อย่างนี้ๆ ถามทั้ง 14 คนได้เลย ผมมั่นใจ ...กล้าให้ตรวจสอบบัญชีทั้งครอบครัว ผมพร้อมชี้แจงทุกอัน”
ทั้งกระทิงและบอล ยังยอมรับด้วยว่า เสียใจที่ไม่ได้แจ้งความ พร้อมประกาศด้วยว่า หากเรื่องที่เกิดขึ้น ตนผิด พร้อมออกจากวงการบันเทิง ขณะที่บอล ถึงกับร้องไห้กลางรายการด้วย โดยบอล กล่าวว่า “ผมกับกระทิงมาด้วยกัน สุขมาด้วยกัน ทุกข์มาด้วยกัน ...ถ้าผมผิดจริงๆ การเดินออกจากวงการ คือความรับผิดชอบของผม ถ้าย้อนเวลาได้ วันนั้นผมคงออกไปแจ้งความ ...ผมก็ต้องขอโทษกับทุกคน ขอโทษช่อง 3 ด้วยที่มีผลกระทบไปหมด มันเป็นบทเรียนราคาแพงของผม”
4. กองทัพบก สั่งปลด "สิบเอกหื่น" ออกจากราชการแล้ว ฐานประพฤติชั่วร้ายแรง ปมล่วงละเมิดทางเพศทหารในหน่วยงานเดียวกัน!
ความคืบหน้ากรณีนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ได้นำตัว น.ส.ออย (นามสมมติ) พนักงานราชการหญิง สังกัดมณฑลทหารบกที่ 17 เข้าพบ พ.ต.อ.เตชินท์ บรรจง ผกก.สภ.ลาดหญ้า พ.ต.ท.วิทวัช น้อยพานิช รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.ลาดหญ้า เมื่อวันที่ 14 ก.ย. เพื่อแจ้งความร้องทุกกล่าวโทษต่อเพื่อนข้าราชการทหารชั้นประทวน ส.อ.กิตติศักดิ์ ดวงประสาท ที่มีพฤติกรรมบุกเข้าไปภายในบ้านพักแล้วพยายามลงมือข่มขืนแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากผู้เสียหายออกอุบายว่าเป็นประจำเดือน โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น
ต่อมา (15 ก.ย. ) พ.ต.อ.เตชินท์ บรรจง ผกก.สภ.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เผยว่า หลังจากพนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือตรวจสอบสถานะบุคคลและแจ้งให้ทางหน่วยบังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาทราบว่าบุคลากรในหน่วยงานถูกดำเนินคดีอาญา จากนั้น นายทหารพระธรรมนูญ ได้นำตัว ส.อ.กิตติศักดิ์ เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ลาดหญ้า เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยมีทนายความร่วมเดินทางมาด้วย
ทั้งนี้ ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา ส.อ.กิตติศักดิ์ 4 ข้อหา ประกอบด้วย 1.พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ตาม ป.อาญา มาตรา 276 ประกอบกับ มาตรา 80 2.กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย และได้กระทำโดยใช้วัตถุอื่นหรืออวัยวะอื่น ซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของบุคคลนั้น ตาม ป.อาญา มาตรา 278 วรรคแรก และวรรคสอง 3.เข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตาม ป.อาญา มาตรา 364 และ 4.ทำให้เสียทรัพย์ ตาม ป.อาญา มาตรา 358
หลังรับทราบข้อกล่าวหา ส.อ.กิตติศักดิ์ ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยแจ้งว่า จะมาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งเมื่อมีหลักฐานเพิ่มเติม
หลังจากนั้น ทนายความได้ขอประกันตัว แต่เนื่องจากกรณีนี้ผู้ต้องหาได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง โดยที่ยังไม่ได้ออกหมายจับ พนักงานสอบสวนจึงปล่อยตัวไปตามสิทธิ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดเพื่อนำไปยื่นต่ออัยการศาลทหาร เพื่อพิจารณาดำเนินการตามระเบียบกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.ย. พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เผยว่า ตามที่พนักงานราชการหญิงสังกัด มณฑลทหารบกที่ 17 ได้เข้าร้องเรียนว่า ถูกนายทหารชั้นประทวนคือ ส.อ.กิตติศักดิ์ ดวงประสาท ล่วงละเมิดทางเพศในหน่วยงานเดียวกัน เมื่อ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหน่วยต้นสังกัดได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่ากำลังพลได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
ล่าสุด ผลการสอบสวนของหน่วยต้นสังกัดสรุปว่า มีเหตุอันเชื่อได้ว่า มีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหา หน่วยต้นสังกัดจึงได้มีคำสั่งให้ปลดนายทหารชั้นประทวนดังกล่าวออกจากราชการ เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหาร ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตั้งแต่ 16 ก.ย. 65 เป็นต้นไป
5. ศาลพิพากษาประหารชีวิต "แม่ปุ๊ก" ใส่ยาพิษในอาหารให้ลูกกิน จนเข้า รพ. แล้วโพสต์เฟซบุ๊กรับบริจาค ทำให้ลูกตาย 1 สาหัส 1 !
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ณัฐติวรรณ หรือภัทธานิษฐ์ หรือปุ๊ก จิตรำลึก เป็นจำเลย ข้อหาค้ามนุษย์ฯ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากการนำคนมาขอทานฯ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตาย, พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นฯ ทำการขอทานฯ, ฉ้อโกงฯ, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฯ, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ชักจูงฯ ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการขอทาน
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 22 เม.ย.2558-12 ส.ค.2562 จำเลยซึ่งรับเด็กหญิง อายุ 4 ปีเศษ (ผู้ตาย) จากมารดามาเลี้ยงอุปการะอยู่ในบ้านจำเลย โดยขณะรับเลี้ยงนั้น ได้ให้เด็กกลืนอาหารที่มีการผสมสารมีฤทธิ์กัดกร่อนต่อเนื่องกันหลายครั้ง เป็นเหตุให้เด็กมีอาการบาดเจ็บทางเดินอาหาร ความดันโลหิตสูงรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด จนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลหลายครั้ง แล้วจำเลยนำภาพของเด็กขณะที่เจ็บป่วย ไปโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนประชาชนให้เกิดความสงสาร มาร่วมช่วยเหลือซื้อสินค้าต่างๆ และขอรับบริจาคค่ารักษาพยาบาล
นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 10 ก.ย.2560-18 พ.ค.2563 จำเลยได้ทำให้บุตรของจำเลย ซึ่งเป็นเด็กชาย อายุ 2 ปีเศษ บาดเจ็บสาหัส จากการกลืนกินอาหารที่มีสารฤทธิ์กัดกร่อนผสมอยู่ต่อเนื่องหลายครั้ง โดยจำเลยได้โพสต์ภาพเด็กขณะเจ็บป่วยเชิญชวนให้มีการบริจาคเช่นเดียวกัน ซึ่งมีผู้เสียหายที่ 2-6 เกิดความสงสารและได้ร่วมบริจาคผ่านบัญชีของจำเลย ทั้งนี้ จำเลยให้การรับสารภาพ โดยระหว่างพิจารณา จำเลยถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
ศาลพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (1) (2), 35, 52 วรรคสาม, 53/1 (1) (2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 289, 290, 342, 343 วรรคสอง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (2) พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 26 (5), 78 พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ.2559 มาตรา 13 (2) วรรคหนึ่ง, มาตรา 19
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานค้ามนุษย์โดยเป็นธุระจัดหาฯ จัดให้อยู่อาศัยหรือรับไว้ซึ่งเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการนำคนมาขอทานหรือการอื่นที่คล้ายคลึงกัน อันเป็นการขูดรีดบุคคล ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัส
ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำการขอทานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, ชักจูงส่งเสริมยินยอมหรือกระทำด้วยประการใดให้เด็กไปเป็นขอทาน หรือใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการขอทานหรือกระทำผิดเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานค้ามนุษย์โดยเป็นธุระจัดหาฯ จัดให้อยู่อาศัยหรือรับไว้ซึ่งเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการนำคนมาขอทาน หรือการอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน อันเป็นการขูดรีดบุคคล ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ประหารชีวิต
ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต, ฐานฉ้อโกงโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน, ฐานฉ้อโกงโดยการแสดง ข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบท ให้ลงโทษฐานฉ้อโกงโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ซึ่งเป็นหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 กระทงๆ ละ 5 ปี เป็นจำคุก 30 ปี
ส่วนที่จำเลยให้การรับสารภาพนั้น ศาลมองว่า เพราะจำนนต่อหลักฐาน จึงไม่ลดโทษให้ โดยเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้ประหารชีวิตสถานเดียว ศาลระบุด้วยว่า เมื่อจำเลยต้องโทษประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจนำโทษที่โจทก์ขอมารวมกับคดีนี้ได้อีก
นอกจากนี้ ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 31,600 บาท จำนวน 2,000 บาท จำนวน 3,800 บาท จำนวน 3,140 บาท จำนวน 2,400 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2-6 ตามลำดับ และให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางด้วย