xs
xsm
sm
md
lg

ไม่สนคนว่าเวอร์!! เปิดใจ “เจ้าของดงกล้วยด่าง 100 ล้าน” ติดกล้อง 48 ตัว เพราะคือสิ่งล้ำค่า-พลิกชีวิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สังคมตั้งคำถามถึงการติดกล้องวงจรปิดกว่า 48 ตัว-เพิ่มแสงสว่างรอบสวน ดูแล “ดงกล้วยด่าง” ดูแลเกินความจำเป็นไปไหม? เจ้าของสวนเปิดใจ กันไว้ดีกว่าแก้ ป้องกันโจรขโมยกล้วยด่าง 100 ล้าน!!?




เวอร์ไปไหม ติดกล้อง ดูแลกล้วยด่าง?


ยังคงเป็นกระแสฮือฮากันอย่างต่อเนื่อง สำหรับวงการ “กล้วยด่าง” ในบ้านเรา ที่ถือเป็นไม้ที่กระแสแรง นิยมเล่นหากันในช่วงนี้ ทำให้หลายคนอยากหามาปลูกขยายพันธุ์ขายเพื่อหวังกำไร

ที่น่าตะลึงไปกว่านั้น คือ ล่าสุด เจ้าของสวน “ฟาร์ม อวตาร” ใน จ. ราชบุรี ต้องติดกล้องวงจรปิดกว่า 48 ตัว เพราะกล้วยด่างที่มี มูลค่ารวมนับร้อยล้าน

แน่นอนว่า ปรากฏการณ์นี้ทำให้สังคมเกิดข้อถกเถียงและออกมาตั้งคำถามว่า ลงทุน 3 แสนบาท ติดกล้องวงจรปิดเพื่อมีไว้ส่องกล้วยด่างสายพันธุ์แดงอินโด โอเวอร์ไปหรือไม่ เพราะยิ่งทำแบบนี้ พ่อค้าแม่ค้า เหล่าคนดัง ยิ่งแห่กันมาจับจอง เหมือนเป็นการปลุกกระแสวงการนี้อีกครั้ง


และคำตอบที่ได้จาก “ก๊อป-ธนกร เพ็งนาเรนทร์” เจ้าของสวนวัย 37 ผู้ปลูกกล้วยด่างกว่า 30 สายพันธุ์ คือ ที่มีการป้องกันลงทุนทำรั่วล้อมกำแพงเข้าออก ซื้อกล้องวงจรปิด มาติดตั้งรอบพื้นที่รั้วทั้งด้านนอกและด้านใน เพื่อดูแลความปลอดภัย เพราะต้นกล้วยด่างมีมูลค่า

“ถ้ารวมถึงตัวบ้านจริงๆ มีอีก 16 ตัว ตอนนี้เยอะกว่า 48 ตัวแล้ว ด้วยความที่ไม้เรามูลค่าค่อนข้างสูง เราไม่รู้หรอกว่าลูกค้าที่มาหาเรา จะเป็นลูกค้า 100% ไหม มีโจรปนมาบ้างไหม นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถเดินตามประกบลูกค้าได้ตลอดเวลา

มันจำเป็นที่ผมจะต้อง.. ตั้งโจทย์ให้กับช่างว่าติดยังไงก็ได้ ให้เห็นทุกๆ ส่วนของสวน ก็ติดชุดแรกไป 32 ตัว ซึ่งมันไม่ครบ ผมก็เพิ่มไปอีก 16 ตัว จนครบ


เซฟไว้ก่อน เพราะมันมีข่าวกล้วยด่างหายเยอะมาก ทั้งสวนมีกล้องวงจรปิด 2 ตัว ผมถามว่า พอเกิดเหตุการณ์แล้วตามยังไง ผมถามว่าถ้าเกิดมีการหายอย่างนี้ ตำรวจสามารถตามได้ ใครเอาไป เอาไปขายที่ไหน

ผมไม่อยากเสียของไป โดยที่ผมไม่สามารถตามของของผมได้ ...ผมว่าขโมยไม่กล้า เพราะว่ามันเยอะเกิน มันเยอะจัด ไม่รวมของตัวบ้าน บ้านอีก 16 ตัว

ในความรู้สึกผม ถ้ามันสว่างโจรจะไม่มา เพราะว่าอย่างน้อยๆ ผมก็พยายามเซฟทุกอย่างครับ ทุกวิถีทางให้สวนเราปลอดภัยที่สุด

อย่างน้อยความสว่างมันน่าจะทำให้คนร้ายเกรงกลัว เขาไม่น่าจะยุ่งกับสวนเรา ผมก็เลยติดหลอดโซลาร์เซลล์ ร่วมๆ เกือบ 30 แล้วก็ยังมีไฟฟ้าที่เราเดินสายไปอีกเยอะ กลางคืนสว่างประมาณสนามกีฬา”




อย่าเพิ่งมองว่าไร้สาระ! “กล้วยด่าง” พลิกชีวิต


เมื่อถามถึงวิธีการดูแลเลี้ยงดู ที่ใครหลายคนมองว่าอาจจะดูระมัดระวังเกินความเป็นจริง สำหรับเขาเมื่อย้อนกลับไป เบื้องหลังกว่าจะมีวันที่สร้างรายได้หลักล้านบาท เขาเปิดใจให้ฟังว่า เคยปลูกสับปะรด ยางพารา และทำอีกหลายอาชีพ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนเป็นหนีเป็นสินจำนวนมาก เรียกได้ว่าลืมตาอ้างปากภายในระยะเวลา 1 ปี จึงยอมแลกทุกอย่าง และไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ

“เราก็รู้ดีว่าบ้านเราเศรษฐกิจมันค่อนข้างฝืด สิ่งที่ผมทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นยางพารา สับปะรด ราคามันตกครับ ทุกสิ่งทุกอย่างค้าขายยากขึ้น ก็เลยพยายามหารายได้เสริม จนไปเห็นเพื่อนๆ เขาปลูกกล้วยด่างกัน แล้วเขาก็มีรายได้


ก็เริ่มต้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนเดือน พ.ย. ทำมาเรื่อยๆ จนมาเจอแดงอินโด เมื่อประมาณปลายเดือน มี.ค. แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ จนมันมีกระแสพีกจริงๆ ก็เมื่อเดือน พ.ค. ช่วงนั้นก็จะมีการซื้อขายค่อนข้างแพง หลักแสน หลักล้าน ก็มีทั้งดรามาด้านบวก ด้านลบ

หลังๆ นักลงทุนกระโดดเข้ามาเล่นกันเยอะ เพราะเขามองว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สามารถทำกำไรได้ เขาก็เลยลงมาลุยกัน มันเลยทำให้การซื้อขายมีมูลค่ามากขึ้น และผมเองเป็นคนในยุคที่เราทำอย่างต่อเนื่อง เป็นเจ้าแรกๆ มันก็เลยทำให้เราค่อนข้างจะมีของเยอะ

และด้วยงานของเรามันค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น ลวดลายที่ต่างจากคนอื่นด้วย สวยกว่าคนอื่น มันก็ทำให้เรามีชื่อเสียงพอประมาณนึง”


ไม่เพียงแค่นั้น เขาเสริมอีกว่า อดีตเดือดร้อนหนัก ถึงขั้นยืมทองภรรยามาขาย เพื่อลงทุนซื้อ เรียกว่า ลืมตาอ้างปาก เพราะด้วยต้นไม้ด่างที่มี มีมูลค่าที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปัจจุบันมีคนผันตัวมาเพาะพันธุ์เพื่อสร้างอาชีพในยุคของโควิด-19

“คือ ผมเอาทองเมียมาขาย เพื่อที่ว่าจะไปลงทุน แต่จริงๆ มันมากกว่าทองที่ผมขายไป รถยนต์ที่ผมมีผมเข้าไฟแนนซ์หมด กู้ธนาคารผมก็กู้ แชร์ที่เล่นได้ก็เปียหมด ทุกอย่างทำยังไงก็ได้ ให้มีเงินไปต่อยอดทางธุรกิจให้ได้ เพราะว่าผมมีหนี้เยอะ

ต้องใช้คำว่าหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะอย่างทำยางพารา ทำ 7 ปี เริ่มกรีดปีที่ 8 ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 10,000 ต่อปี การที่เราจะมีเงินแสนได้ มันต้องมีจำนวนเนื้อที่เท่าไหร่

ปลูกมะกรูด ปลูกสับปะรด ซึ่งเราก็รู้อยู่ว่าลงทุนเยอะ แล้วเกษตรกรกำหนดราคาไม่ได้ด้วย เป็นโรงงานเท่านั้น เป็นตลาดโลกเท่านั้น ที่เป็นคนกำหนดราคา เราไม่สามารถกำหนดราคาได้เลย

แต่ไม้ด่างหรือสัตว์เลี้ยง ที่เขาเรียกว่าสัตว์กระแส ไม้กระแส เกษตรกรเป็นคนกำหนดราคา เราสามารถเป็นคนกำหนดราคาได้เอง ว่าเราจะขายหรือไม่ขายครับ มีอำนาจการต่อรองมากกว่าสินค้าที่เราเคยทำมากินเนื้อที่น้อยกว่า ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า

มันไม่ได้แค่เปลี่ยนชีวิตผม มันเปลี่ยนชีวิตใครหลายๆ คนที่เขาทำไปพร้อมๆ กับผม ทำก่อนหน้า หรือทำหลังผม เปลี่ยนเยอะครับ มีแต่สิ่งดีๆ ในความรู้สึกผมนะ และตัวผมเองค่อนข้างพลิกชีวิตจากที่เรามีหนี้สินเยอะๆ มันก็ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น มีเงินไปปลดเปลื้องหนี้สิน”


สุดท้าย ก๊อป เจ้าของสวน ยังได้ทิ้งท้ายถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่เพาะเลี้ยง และขายกล้วยด่าง จนพลิกชีวิต และโอกาสสร้างรายได้หลักล้าน ไว้ว่าการเลี้ยงไม้ด่าง มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เพราะสามารถสร้างมูลค่าทางการตลาด และในอนาคตธุรกิจนี้ ยังเป็นที่ต้องการต่อยอดทางธุรกิจ

“ผมอยากจะฝากถึงใครหลายๆ คนที่ยังไม่เข้าใจคนที่เล่นไม้ด่าง หลายๆ คนจะบอกว่ามันไร้สาระนะ มันไม่มีประโยชน์ มันกินไม่ได้ มันไม่อร่อย ผมอยากจะบอกว่าไม้ด่างมันก็คือสินค้าฟุ่มเฟือยชนิดนึง

แต่มันอยู่ที่ความพึงพอใจ หลายๆ คนเลือกที่จะซื้อเพราะเขาชอบ พระเครื่ององค์ละ 20 ล้าน ถึงมีคนซื้อ เหมือนกับต้นไม้บอนไซนละแสน เพียงแค่วันนี้มันเปลี่ยนชนิดต้นไม้ มาเป็นกล้วยแดงอินโดแค่นั้นเอง”






ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)





สกู๊ปข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live

ขอบคุณภาพ : FB “ฟาร์ม อวตาร”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **







กำลังโหลดความคิดเห็น