เช็กความพร้อม ก่อนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19!! แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำไร้อันตราย ผู้สูงอายุฉีดได้ เผยดีกว่าไม่มีวัคซีนแน่นอน ซัดระวังเชื้อกลายพันธุ์ กลุ่มเสี่ยง-กลุ่มแพร่เชื้อ ควรได้สิทธิรับวัคซีนทุกคน!!
เจาะ 2 วัคซีน ป้องกันโควิด!!
ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประมาณ 100 ล้านโดส เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งประเทศไทย ได้มีการนำเข้ามา 2 ตัว ทั้งของ ซิโนแวค และของ แอสตร้าเซนเนก้า โดย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประเดิมฉีดวัคซีนซิโนแวค เป็นเข็มแรกของไทย
แน่นอนว่า ประชาชนต่างให้ความสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความแตกต่างของวัคซีนทั้ง 2 ตัว
เพื่อให้รู้เกี่ยวกับวัคซีน ทีมข่าว MGR Live ได้ติดต่อไปยัง นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนักและโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และประธานชมรมเชื้อราทางการแพทย์ประเทศไทย ได้บอกถึงผลข้างเคียงไว้ว่า เป็นไข้และอ่อนล้า และประสิทธิภาพของตัวยา มีเป้าหมายหลัก คือ ลดการเจ็บป่วย ลดการเสียชีวิต และลดการแพร่เชื้อ
“มันไม่อันตรายเลย คือ ที่อันตรายถึงชีวิตไม่มีหรอก อาจจะมีไข้ อาจจะมีเจ็บปวดบริเวณที่ถูกฉีดยา อาจจะปวดเมื่อยตามตัว แต่ว่าอาการที่แพ้จนช็อกไปมันน้อยมากๆ คงเป็น 1 แสนคน”
โดยวัคซีนต้านโควิด-19 ทั้ง 2 ยี่ห้อ ทั้ง “โคโรนาแวค (CoronaVac)” ของ ซิโนแวค (Sinovac) และ “AZD1222” ของ แอสตร้าเซนเนก้า (Astrazeneca) มีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์จากองค์การอนามัยโลก และคุณสมบัติไม่มีความแตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย
“มันก็น่าจะโอเค เพราะเขาก็คิดว่ามันป้องกันลดการเข้านอนโรงพยาบาล ลดเข้าไอ.ซี.ยู. ลดการตาย คิดว่าจะได้ 70-80% ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
ผลข้างเคียงคิดว่าไม่น่าจะมี ถ้ามีเขาคงบอกมาแล้ว คือ เท่าที่ติดตามข่าวเขามา คิดว่าน่าจะปลอดภัย และตัวไหนมาก่อน ก็รีบให้ก่อน จะไปรอไม่ได้ รอก็โอกาสเสี่ยงมากกว่า จะไปคิดว่ามันจะ 100% เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ ปีนึงยังไมได้เกิน 50% เลย ต่อปี 20-30% เอง เพราะอย่างนั้นอย่าไปหวังเป็น 100%”
สำหรับวัคซีนของซิโนแวค วัคซีนชนิดเชื้อตาย ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างดี ป้องกันความรุนแรงของโรค โดยเคสที่มีอาการน้อยและอยู่ในความดูแลของแพทย์ สามารถป้องกันได้ถึง 78% และป้องกันการป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาล สามารถป้องกันได้ 100%
แต่หากเจ็บป่วยเล็กน้อย โดยไม่ต้องการการดูแลของแพทย์ ความสามารถในการป้องกันจะลดลงเหลือ 50% ระยะการฉีด 2 เข็ม ระยะห่างเข็มสอง 28 วัน อีกทั้งทั่วโลกยังไม่พบการเสียชีวิตจากการได้รับวัคซีนตัวนี้ ดังนั้น วัคซีนตัวนี้จึงมีประสิทธิภาพป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม หลายคนมีความกังวลถึงเรื่องผู้ที่มีสิทธิรับวัคซีน จะต้องมีอายุระหว่าง 18-59 ปี เท่านั้น เพราะเป็นวัคซีนใหม่ มีผลวิจัยในผู้ที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปน้อย แพทย์รายเดิมให้คำตอบไว้ว่า หากคนอายุมากกว่า 60 ปี ได้รับการวัคซีนเชื่อว่าไม่เสี่ยงอันตราย ชี้ควรได้รับวัคซีนทุกคน
ขณะที่วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ที่พร้อมฉีดกลาง มี.ค. เป็นวัคซีนชนิดเวกเตอร์อะดีโนไวรัส หรือการนำไวรัสที่ทำให้อ่อนลงแล้วทำให้ไม่เกิดโรค สามารถฉีดในคนอายุมากกว่า 60 ปี มีผลป้องกันได้ 70%
“ไม่มีความเสี่ยง มันไม่เห็นมีอันตรายอะไรเลย คนอายุ 59 รับได้ คนอายุ 60 รับไม่ได้เหรอ… ไม่ใช่
แอสตร้าเซนเนก้าบอกว่า ไม่เกิน 65 คือ ข้อมูลมันไม่เพียงพอ เพราะว่าเวลาเขาทำการศึกษา เขาไม่ได้เอาคนสูงอายุมาก เขาเอาคนสูงอายุน้อย ฉะนั้น ข้อมูลจึงไม่พอ
คือ ไปเอาคนที่มีอายุน้อยกว่า 60 น้อยกว่า 65 มาทำการศึกษา แต่มันไม่ได้รวมคนสูงอายุมาก แต่ว่ายามันต้องให้คนสูงอายุก่อนเลย เพราะฉะนั้นจะไปบอกว่าไม่มีประสิทธิภาพ …ไม่ใช่ แต่ว่าเขาไม่ได้รวบรวมคนสูงอายุ เชื่อว่ารีบให้ไปเถอะ”
ส่วนในกรณีประชาชนมีความเสี่ยงสูงรองลงมา แพทย์จะเป็นคนพิจารณาผู้ป่วยในการดูแลของโรงพยาบาล ว่า ใครควรได้รับวัคซีน หลังจากนั้น จะมีการติดต่อไปเพื่อสอบถามความสมัครใจในการฉีด
ความหวังของคนไทย!!
“ผมคิดว่าดีกว่าไม่มีวัคซีนแน่นอน เพราะถ้าอันไหนเกิน ดีกว่า 50% ก็ต้องรีบเอาก่อน คือ สำคัญว่า เขาบอก 50% จะลดการเจ็บป่วยน้อยๆ ได้ 50%
จะลดการเจ็บปวดมากๆ อาจจะ 80-100% ด้วยซ้ำ คือ เจ็บน้อย เจ็บป่วยน้อยๆ ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่เป็นไร แต่การเจ็บป่วยหนัก 90-100% ถือว่าใช้ได้ รีบให้ก่อน”
จากที่ปรากฏตามมาตรการของรัฐจะฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนกลุ่มพื้นที่เสี่ยงก่อนนั้น
ซึ่งมีการจำกัดโดสตามมาตรฐานวัคซีน ซึ่งอาจจะทำให้ไม่เพียงพอต่อคนไทย หมอมนูญ ชี้แจงว่า ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการลดเข็มฉีดวัคซีนได้ พร้อมทั้งยอมรับว่า ไม่ครอบคลุมประชากรทั้งประเทศจริง
“(ลดโดส) ไม่ได้ อย่างของจีนเขาให้ 2 อาทิตย์หลังจากที่ฉีด บอกมันเป็นไปได้ 2 อาทิตย์ ถึงให้ฉีด อย่างของแอสตร้าเซนเนก้า บอก 12 อาทิตย์ หลังที่ฉีด
เราก็ต้องรอวัคซีนตัวใหม่ ที่เชื่อว่า จะครอบคลุมได้ 80-90% ใจผมคิดว่าให้ทุกคนฉีดไปเลย คนละโดส ไม่ว่าบริษัทไหนก็ตาม แล้วเก็บยาไว้ แจกให้กับทุกคน หมายความว่า ผู้ใหญ่ทุกคน รวมทั้งคนแรงงานต่างด้าวด้วย ต้องให้หมด
จริงๆ เราควรจะให้เข็มเดียว กว่าคนจะได้เข็มเดียวบางคนอาจจะกลางปี หรืออาจจะปลายปี พอต้นปีหน้าเข็มที่ 2 ก็มาแล้ว เป็นเข็มที่ครอบคลุมเชื้อกลายพันธุ์ ไม่ใช่ว่า มาฉีด 31 ล้าน แล้วอีก 20 ล้านคนไม่ได้ฉีด โอ้โห! มันอันตราย”
พร้อมทั้งทิ้งท้าย และเน้นย้ำให้ฟังว่า การให้ 2 โดสนั้น เป็นการย้ำประสิทธิภาพของยา ให้ภูมิคุ้มกันอยู่ได้นานขึ้น และ สบค. จะต้องคิดเรื่องวัคซีนให้ดี เพื่อครอบคลุมทุกคน รวมทั้งรับมือโควิดกลายพันธุ์
“จริงๆ น่าจะแบ่งทุกคนฉีดคนละเข็ม แล้วปีหน้าทุกบริษัทเขากำลังทำวัคซีน เชื้อที่มันกลายพันธุ์ แล้วคิดว่าปลายปีนี้เขาก็จะออกมา พอปลายปีนี้ออกมา ปีหน้าเราก็จะฉีดเข็มที่ 2 ซึ่งครอบคลุมเชื้อกลายพันธุ์
หลังจากนี้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ทาง สบค. คงจะต้องคิดดูให้ดี เพราะการที่ฉีดไปแค่ 31 ล้านคนแล้ว ปล่อยให้ 20 ล้านคน เราไม่สามารถมีภูมิคุ้มกันหมู่ได้เลย
ถ้าเราต้องฉีดทุกคน สมมติป้องกันได้ 70% ผมคิดว่าก็ยังดี เพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันอยู่ ป้องกันไม่ให้ระบาดกับเด็กเล็ก หรือเด็กวัยรุ่น ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้ฉีดวัคซีน คนท้องก็ไม่ได้ฉีดวัคซีน ฉะนั้น กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เขาจะไปรับเชื้อ ถ้าทุกคนมีภูมิคุ้มกันหมู่ พวกเขาก็จะไม่ได้ติดด้วย”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **