xs
xsm
sm
md
lg

ถอดกลยุทธ์ “ไลฟ์โค้ชยุคเศรษฐกิจป่วย” ขายแบงก์ปลอม-อ้างพลังจักรวาล!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สะเทือนวงการไลฟ์โค้ช! ผู้เสียหายหลายสิบรายร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เหตุถูก “ครูสิตา” ไลฟ์โค้ชชื่อดัง อ้างพลังจักรวาล หลอกขายแบงก์ปลอมและสารพัดสินค้าใช้แล้วรวย ขณะที่กูรูการตลาดย้ำ “ความร่ำรวยในยุคเศรษฐกิจถดถอยมันไม่มีทางลัด”

ผู้เสียหายฟ้องมา ครูสิตาฟ้องกลับ!

“ตอนนี้จะเห็นว่าพอคนหมดหวัง สิ่งที่เป็นที่พึ่งก็เป็นสิ่งที่เหนือจริงซักหน่อย คนก็จะไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนี้ ในอดีตที่ผ่านมาจะเห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดังๆ ขึ้นมา จะดังขึ้นมาในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี พอเศรษฐกิจดีมันก็ไม่จำเป็น ขายของดีอยู่แล้ว ทำมาค้าขึ้น พอไม่ดีปุ๊บก็ไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันก็เลยเป็นช่องว่างให้คนสามารถจะครีเอทเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้”

ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย นักวิชาการด้านการตลาดชื่อดัง กล่าวกับทีมข่าว MGR Live ถึงประเด็นดรามาที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจขณะนี้ เมื่อมีกลุ่มผู้เสียหายที่กล่าวว่าพวกตนถูก “ครูสิตา” ไลฟ์โค้ชชื่อดัง ที่มีคนติดตามในเพจเฟซบุ๊กถึง 445,891 คน และในแอปพลิเคชัน Tiktok อีกกว่า 892,500 คน แนะให้ผู้ติดตาม นำธนบัตรถ่ายเอกสารและพกติดตัวไว้ เพื่อให้ซึมซับ เป็นการสั่งจิตรวย มีการกล่าวอ้างถึงการใช้กฎแรงดึงดูดของจักรวาล ดึงดูดทรัพย์เข้ามา



ไม่เพียงแค่การพูดในลักษณะให้กำลังใจตามสไตล์ไลฟ์โค้ชเท่านั้น ผู้เสียหายยังให้ข้อมูลว่า ครูผู้นี้ยังแนะถึงหนทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย มีการให้สมัครสมาชิก ตลอดจนมีการขายสินค้าทั้ง น้ำหอมพลังงานหิน กระเป๋าดักทรัพย์ สบู่ล้างซวย ชุดนอนมั่งคั่ง เทียนมงคล ฯลฯ

นอกจากนี้ ทางไลฟ์โค้ช ยังแนะนำให้ซื้อแบงก์ปลอม 1,000,000 บาท ต่อแบงก์จริง 2,000 บาท เพื่อนำไปสร้างโปรไฟล์จนมีผู้คนหลงเชื่อเป็นจำนวนเงินถึงหลักล้าน โดยทางกลุ่มผู้เสียหายหลายสิบคนตัดสินใจรวมตัวกันนำหลักฐานต่างๆ เข้าร้องที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) พร้อมกับ ภาคภูมิ นิติวีรวงศ์ ทนายความ เพื่อเอาผิดกับไลฟ์โค้ชรายนี้

ขณะเดียวกัน ด้านผู้ถูกกล่าวหาอย่าง “ครูสิตา” ก็ได้ออกมาโต้กลับผ่านรายการ “โหนกระแส” ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ขายให้สมาชิกนั้น เป็นโปรแกรมจิต สร้างแรงบันดาลใจเพื่อเป็นกำลังใจให้คนทำงาน และหากไม่ทำงานก็คงไม่รวย และพร้อมจะดำเนินคดีกับผู้ที่ทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียงทุกราย



“ฟ้องกลับทุกคนค่ะ เพราะเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำนั้น เจตนาเราเพื่อการเรียนการสอน คนที่เขาทำแล้วเห็นผลก็มี แน่นอนคุณซื้อของไป คุณขายไม่ได้ แล้วคุณไม่แฮปปี้กับเรา แล้วคุณจำได้หรือเปล่าตอนที่เราบอกคุณว่าถ้าเรียนฟรีไม่เห็นผลอย่ามาทำกับเรา คุณจำได้ไหม” ไลฟ์โค้ชผู้เป็นประเด็นกล่าว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ กูรูการตลาดชื่อดังมองว่า การใช้โซเชียลมีเดียในปัจจุบัน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การสื่อสารไปสู่เป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ประกอบกับยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ผู้คนต้องการที่พึ่ง จึงเป็นโอกาสที่จะต่อยอดทางธุรกิจผ่านอาชีพไลฟ์โค้ชได้

“จริงๆ แล้วตัวอย่างประเภทนี้ในโลกยุคใหม่ มันจะมีโซเชียลมีเดีย มันก็มีคนใช้กันหลากหลาย สิ่งที่โซเชียลมีเดียทำได้คือการ Branding ตัวเองขึ้นมา สมัยก่อนคนจะดังขึ้นมาต้องมีสื่อหลัก ออกโทรทัศน์ ทำวิทยุ หรือว่าเขียนหนังสือ จากนั้นก็ติดตลาด



[ ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ]
พอมีโซเชียลมีเดีย คุณสร้างเพจขึ้นมา คุณอาจจะไปเอาคำคมของคนนู้นคนนี้มา พอมีคนแชร์ไปเรื่อยๆ ในภาวะที่ตอนนี้เศรษฐกิจมันแย่ คนก็หมดหวัง ไม่มีกำลังใจ พอใครมาพูดอะไรดีๆ ทำให้รู้สึกมีทางออก มีแสงสว่างปุ๊บ มันก็จะมีคนตาม

มันก็จะมีหลายคนนะไม่ใช่เฉพาะเคสนี้ แรกๆ ไม่ได้ทำอะไร มีแต่ให้ ให้ความรู้ ให้ความคิด มีคำคมให้ พอมีคนตามเยอะๆ มันก็อาจจะทำธุรกิจได้ เริ่มทำคอร์ส ก็จะเห็นว่าไม่ได้มีคนเดียวที่ทำคอร์ส มีไลฟ์โค้ช เริ่มต้นกันแบบนี้เลยนะ จากนั้นก็จะขายของ ทีนี้เวลาคุณทำการตลาด คุณต้องฮาร์ดเซลล์ ถ้าคุณจะขายของให้ได้ คุณต้องฮาร์ดเซลล์ อาจจะพูดเกินจริง”

มาก-น้อยก็ต้องจ่าย ค่าบทเรียนรวยทางลัด!

เมื่อมีมุมของผู้ประกอบการแล้ว อ.ธันยวัชร์ ยังกล่าวต่อไปในทางกลับกัน ว่าด้วยเศรษฐกิจเช่นนี้ จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้บริโภคอาจตกเป็นกลยุทธ์บางธุรกิจของคนบางกลุ่มได้โดยง่าย

“วิธีการทำมาหากินในช่วงเศรษฐกิจถดถอยมันมีเยอะ สิ่งที่ต้องระวังสำหรับคนทั่วไปก็คือ การรวยไม่มีทางลัด แล้วถ้าคุณอยากจะได้ความร่ำรวยทางลัด คุณก็อาจจะต้องได้รับบทเรียนแบบนี้ ประเภทที่ว่าเอาแบงก์ใส่กระเป๋าแล้วเดี๋ยวจะเรียกเงินมา มันเป็นไปได้มั้ย

แต่เจ้าของเขาก็บอกคุณเชื่อเอง ก็ไม่ได้ไปหลอกให้เชื่อ ของฉันเองใส่แล้วเงินไหลมาเทมา ซึ่งก็ไหลมาเทมาจริง เพราะการที่คุณไปซื้อไง มาซื้อโน่นซื้อนี่ คอร์สฉันก็มีคนเรียน ฉันทำอะไรออกมาก็มีคนซื้อ มันไม่ได้ผลทุกคนแต่ของฉันมันได้ผล เขาอาจจะอ้างแบบนี้ก็ได้



ทีนี้ปัญหาก็คือว่า เราจะต้องมีวิธีคิดที่เรียกว่า Rational Thinking ต้องคิดเชิงเหตุผลได้ แต่ว่าบางทีคนก็เชื่อง่าย เช่น บางคนถูกหวยทุกงวดติดต่อกันปีนึง เวลาให้หวยคนจะเชื่อมั้ย ก็มีโอกาสเชื่อนะ สมมติมีคนๆ นึงบอกถูกหวย ก็ไปซื้อลอตเตอรีที่ถูกมา แล้วเอามาโชว์ในเฟซบุ๊กว่า ฉันถูกหวยแบบนี้มา 5-6 เดือนแล้ว แล้วเปิดคอร์สสอนเล่นหวย คิดว่าคนจะไปลงคอร์สมั้ย ก็อาจจะมีคนไปก็ได้นะ เพราะคนอยากจะถูกหวยไง”

นักการตลาดชื่อดังยังย้ำอีกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ หากแต่เป็นภาพจำที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน จึงได้แต่เพียงฝากคำแนะนำไว้หากในอนาคตมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น ไม่ควรรวมตัวกันไปเอง สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาทนายหรือผู้มีความรู้ด้านกฎหมายให้ถี่ถ้วน

“มันมีเยอะ ตั้งแต่สมัย 10 กว่าปีที่แล้ว แล้วตอนนี้มันมีง่าย ถ้าเกิดว่าคุณมีหลักคิด คุณจะเลือกเชื่อ ให้เลือกเชื่อเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วถ้ามีการค้าพาณิชย์ ขายคอร์ส ขายของ ก็ให้ใช้หลักในการพิจารณาว่ามันเป็นไปได้มั้ย ถ้าเขาขายของที่เกินกว่าความเป็นจริง ให้คุณคิดก่อนจะตัดสินใจไปอุดหนุน



มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เอาธนบัตรมาใส่กระเป๋าแล้วมันจะไปดูดทรัพย์ ถ้าคุณเชื่อปุ๊บมันแล้วแต่คุณ จะไปเอาผิดอะไรเขาก็คุณไปจ่ายตังค์เอง อันนี้มันเป็นเรื่องความเชื่อ ความหมายเขา (ไลฟ์โค้ช) ก็คือ ใส่แบงก์ไว้ในกระเป๋าแต่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ เขาก็อ้างได้ สมมติคุณไปซื้อพระที่เขาปลุกเสก บอกว่าดีนะ ปลุกเสกปุ๊บทำมาค้าขึ้น ถ้าไม่ทำมาค้าขึ้นคุณจะไปฟ้องคนขายได้เหรอ อาจจะฟ้องได้ในแง่ของโฆษณาชวนเชื่อ หลอกประชาชน แต่ไม่น่าจะเป็นกรณีของแชร์ลูกโซ่ มันแล้วแต่ต้นคดี

ถ้าจะแจ้งความเอาผิดให้ไปปรึกษาทนายก่อน ไม่ใช่ว่ารวมตัวกันแล้วไปหาตำรวจเลย จะได้หาช่องได้ถูก เพราะกฎหมายจะมีตัวบทชัดเจน อย่างนี้หลอกมั้ย สมัครใจเองมั้ย ไม่อย่างนั้นมันจะเสียเวลา เราคนธรรมดาเราไม่รู้กฎหมายละเอียด ให้รวมตัวแล้วไปหาทนายก่อน”

สุดท้าย เขาได้ฝากข้อคิดทิ้งไว้ว่า ทุกบทเรียนมีราคาที่ต้องจ่าย และควรใช้วิจารณญาณให้ดีก่อนที่จะตกลงปลงใจเชื่อหรือจ่ายเงินให้กับบางสิ่งบางอย่าง



“คนเราพูดตรงๆ มันต้องตามหลัก ขยันมั้ย ประหยัดมั้ย อดทนมั้ย คุณขายของที่คนเขาต้องการมั้ย ทำอาหารที่คนอยากกินมั้ย ราคาเหมาะสมมั้ย สุดท้ายมันต้องมีวิจารณญาณว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใครไปไหว้ คุณก็ต้องทำด้วยนะ หมายถึงคุณต้องทำทุกวิถีทางแล้วถึงไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่ทำอะไรเลย มันจะได้เหรอ หลักนี้จะต้องมีก่อน

ถ้าตัดสินใจแล้วต้องไม่เสียใจกับการกระทำของคุณนะ อะไรที่เป็นเงินค่อนข้างเยอะ ให้ตัดสินใจนานๆ หน่อย แต่ถ้าเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่บาท ก็ถือว่าเป็นค่าเล่าเรียนแล้วกัน บทเรียนมันต้องมีค่าเล่าเรียนสิ ผิดเป็นครู ถ้าคิดว่าผู้ขายไม่ถูกต้อง ท่านก็ช่วยกันเผยแพร่ว่าไม่ถูกต้องยังไง

คนที่อ้างตัวว่าตกเป็นเหยื่อก็จะต้องเป็นบทเรียนให้ตัวเองด้วยนะว่าถ้าไปจ่ายเงินจ่ายทองแล้วไม่ได้ตามนั้น คุณต้องมาถามกับตัวเองด้วยนะว่าเป็นเพราอะไร เพราะทางคนที่ทำคอร์ส คนที่ขายวัตถุพวกนี้ เขาบอกว่าตัวเขาพิสูจน์ได้ และบางคนก็รวยจริง สุดท้ายคือ จะเชื่ออะไรต้องมีเหตุมีผลกำกับ ความร่ำรวยในยุคเศรษฐกิจถดถอยมันไม่มีทางลัด จะต้องทำงานหนัก เหนื่อย และอย่างชาญฉลาด”

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น