เปิดเรื่องราวชีวิต “ป้าวันเพ็ญ” หญิงพิการเท้าผิดรูป ไม่มีบัตรประชาชน อีกทั้งยังต้องรับภาระเลี้ยงหลานทั้ง 6 ที่ลูกทิ้งไว้ อาศัยเก็บของเก่าขาย ได้อาหารจากกองขยะต่อชีวิต เคยท้อหนักจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายได้หลานดึงสติ “มาจนป่านนี้ เราต้องก้าวต่อไป”
เคราะห์ซ้ำ! “พิการ-ไม่มีบัตรประชาชน”
“เราทำงานไม่ได้ อยากจะทำงานแม่บ้านก็ทำไม่ได้ เจ็บป่วยก็รักษาไม่ได้ เงินเบี้ยพิการ เงินคนจนก็ไม่ได้กับเขา ไม่มีสิทธิอะไรเลย”
วันเพ็ญ รอดคลองตัน หญิงพิการอายุ 52 ปี เปิดใจกับผู้สัมภาษณ์ ถึงเรื่องราวชีวิตสุดอาภัพของตนเอง ที่นอกจากจะต้องรับภาระดูแลหลานทั้ง 6 คน ที่ลูกนำมาทิ้งไว้ให้เลี้ยงแล้ว เธอยังเป็นบุคคลที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน หรือมีหลักฐานทางราชการติดตัว เพราะไม่รู้ว่าตนเองเป็นลูกของใคร และไม่เคยมีใครไปแจ้งเกิด
ป้าวันเพ็ญ ถูกเลี้ยงดูโดยคนใจบุญที่ไม่มีลูก และด้วยความยากจนจึงสามารถส่งเสียให้เธอได้เรียนจบเพียงแค่ชั้น ป.2 งานที่พอจะทำได้นั้นคงไม่พ้น งานรับจ้างทั่วไป มีรายได้พอกินพอใช้ไปวันๆ
“ป้ารู้แค่ว่ามีผู้ชายคนนึงเอาเราไปให้กับแม่เปรียว เขาไม่มีลูก เขาอยากมีลูก เขาก็เลยขอ จำได้ว่าเขาขอเรามาเลี้ยง เรียนหนังสือก็เรียนแค่ ป.2 (บัตรประจำตัวประชาชน) เขาบอกว่าเขาไม่รู้ ตอนนั้นมันบ้านนอก ไม่รู้ว่าจะลำบาก เขาก็เลยปล่อยเลยตามเลย”
ความลำบากในการใช้ชีวิตของป้าวันเพ็ญ ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นคนไร้บัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น เรื่องความพิการก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลกระทบการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด เธอเล่าว่า สาเหตุที่กลายเป็นผู้พิการนั้น เพราะถูกงูกัดจนเอ็นร้อยหวายขาด ทำให้ขาไม่เท่ากัน เท้าผิดรูป จึงไม่สามารถทำงานหนักได้
“โดนงูเห่ากัดค่ะ ทำไร่ข้าวโพดที่โคราช ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว งูตัวเท่าแขนกัดจนเขี้ยวคา ทำให้เราเดินไม่สะดวก เสียเอ็นขา เดินก็ต้องเขย่ง ใส่รองเท้าแตะเดินไม่ถนัด เหมือนจะล้ม คุณหมอเขาแนะนำให้ใส่รองเท้าให้มันสูง เพื่อที่จะเดินให้เท่ากัน”
และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ป้าวันเพ็ญเล่าต่อไปว่า เรื่องของชีวิตคู่ เธอเคยมีลูก 2 คนกับสามีคนแรก แต่ก็ล้มเหลวเพราะสามีไปมีภรรยาใหม่ และด้วยความที่ป้าวันเพ็ญไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน จึงไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้
ในเวลาต่อมา เธอพบรักและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ สนิท รอดคลองตัน สามีคนปัจจุบัน จนมีลูกด้วยกันอีก 3 คน แต่ด้วยชะตาชีวิตได้ลิขิตให้เธอมาเป็นเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่หลานๆ 6 ชีวิต ที่ลูกๆ ของเธอทิ้งไว้ให้ดูแล แบ่งเป็นหลานที่เกิดจากลูกกับสามีเก่า 3 คน และหลานที่เกิดจากลูกกับสามีคนปัจจุบันอีก 3 คน
ด้านผู้เป็นสามีกล่าวว่า รับทราบเรื่องราวของป้าวันเพ็ญมาโดยตลอด และพร้อมยินดีที่จะรับหลานมาเลี้ยง โดยไม่เคยคิดรังเกียจแต่อย่างใด
“เขาบอกว่าจะมีหลานมาอยู่นะ ลูกเขาคลอดแล้วก็ทิ้งไว้ ก็บอกเอาสิ มาอยู่ด้วยกันนี่แหละ เขาเกิดมาแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องเลี้ยงเขาไป หลานคุณก็เหมือนหลานผม ถ้าไม่มีที่ไปก็เอามาอยู่ด้วยกัน ถ้าเขาเลี้ยงไม่ไหวก็เอามาอยู่ด้วยกัน เราจะเลี้ยงกันเอง”
ต่อชีวิตหลาน ด้วยอาหารจากกองขยะ
ปัจจุบัน ครอบครัวนี้มีรายได้จากการทำน้ำเต้าหู้และข้าวเหนียวหมู ให้หลานๆ ที่พอจะช่วยเหลือตายายได้ทั้ง 4 คน ออกไปขายในละแวกบ้าน จนกลายเป็นภาพที่เห็นได้ชินตาของชาวบ้านแถวนั้น
เป็นอีก 1 หน้าที่ของพวกเขาที่ต้องทำ นอกเหนือจากการเรียนหนังสือ เพราะต้องการแบ่งเบาภาระของยาย ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะจนถึงปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ก็มีรายได้อีกทางจากการเก็บขยะและขายของเก่า ซึ่งแต่ละวันก็ไม่แน่นอนและไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงหลานทั้ง 6 คน ทำให้ในบางครั้งต้องประทังชีวิตทั้งตนเองและหลาน ด้วยอาหารจากกองขยะ?!
“เลี้ยงหลานด้วยนมข้นบ้าง ถ้าวันไหนเราไม่มีตังค์ที่จะไปซื้อนม ก็เอาน้ำเปล่าใส่ขวดนมให้เขาดูด ถ้าร้องก็ใส่น้ำตาลเข้าไปให้เขากิน เขาก็ไม่ร้อง ถ้าคนที่พูดพอรู้เรื่อง ก็บอกว่าแม่ไม่มีตังค์นะลูก กินอย่างนี้ไปก่อน ตาได้ตังค์มาเราก็จะเปลี่ยนไปซื้อนมผงให้เขากินก่อน หรือไปเจอนมผงหมดอายุ เขาทิ้งก็เก็บมาชงให้หลานกิน ส่วนมากของที่หมดอายุ พูดตรงๆ เอามาให้หลานกิน เอามาจากกองขยะ”
แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีปัญหาด้านสุขภาพของหลานที่รุมเร้า เป็นอีกสิ่งที่น่าห่วง
“มีน้องเกรท ตอนนั้นเป็นโรคซึมเศร้า เขาจะชอบเล่นคนเดียว อยู่ใต้โต๊ะ ใต้เตียง เก็บตัวอยู่คนเดียว เวลาที่เขาเครียดมาก เส้นเลือดตรงนี้จะโป่ง (จับที่ขมับ) แล้วเลือดกำเดาจะไหลออกมาเป็นลิ่มๆ ที่โรงเรียนแทบทุกวัน แต่พอมาช่วงนี้เขาดีขึ้น ให้เขาเล่น ไม่ให้เครียด เขาชอบวาดรูปก็จะเขียนไปอย่างนั้น
อีกคนน่าเป็นห่วงคือน้องรชา เป็นหัวใจโต ลิ้นหัวใจรั่ว หัวใจของเขามันยืดหยุ่นไม่เหมือนหนังสติ๊ก หนังสติ๊กมันยืดแล้วกลับมาได้ แต่ของเขามันไม่สามารถกลับได้ มันจะยืดออกไป น้องจะต้องผ่า ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ตอนนี้กำลังรักษาให้ร่างกายของน้องพร้อม เพราะเขามีทั้งโรคหอบ เกล็ดเลือดน้องต่ำ เขาก็เลยไม่สามารถทำอะไรให้น้องได้”
เมื่อถามลุงสนิท ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ว่าต้องดูแลอีกหลายคนในบ้าน เคยคิดถึงความสุขสบายของตัวเองบ้างหรือไม่ เขาตอบว่า ชีวิตของหลานๆ มาก่อนเสมอ
“ส่วนตัวนั้นผมไม่คิดเลยครับ ไม่เคยมีอยู่ในใจ ทำยังไงก็ได้ให้เขาเติบโต เราจะเลี้ยงเขารอด ทำยังไงให้เขามีเงินไปโรงเรียน มีขนมกิน แค่นั้นผมก็พอแล้วครับ”
ส่วนป้าวันเพ็ญก็เสริมว่า “เรามองไปที่ว่าเรากินยังไงก็ได้ เรายอมอดเพื่อให้หลานได้กิน เรายอมลำบากเพื่อให้หลานสบาย”
“หลานคือกำลังใจของเราจนทุกวันนี้”
แม้จะเข้มแข้งมากพียงไร แต่เมื่อชีวิตต้องเผชิญปัญหารุมเร้าอย่างหนัก บวกกับภาระที่ต้องรับผิดชอบ ย่อมมีช่วงท้อแท้บ้างเป็นธรรมดา สำหรับป้าวันเพ็ญนั้น เคยคิดถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป แต่ในที่สุดก็กลับมาสู้ชีวิตอีกครั้ง ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
“ตัดสินใจผูกคอตาย เราพึ่งใครไม่ได้ เราไม่มีบัตรประชาชน การรักษาเจ็บป่วย เราช่วยอะไรเขาไม่ได้ ขาเราก็เป็นอย่างนี้ เราทำงานหนักไม่ได้ เดินบ่อยก็ไม่ได้ หนำซ้ำเรายังเป็นภาระให้เขาอีก 3 ชีวิตไม่ใช่หลานเขาเลย เขาต้องมารับผิดชอบช่วยเรา ต้องทนเพื่อเรา
(สามี) เขาเป็นห่วง คุณสนิทบอกว่าอย่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว ต้องสู้ไปด้วยกัน อดทนไปด้วยกัน ต้องฝ่าจุดนั้นไปให้ได้ หลานๆ ก็บอกว่า ‘แม่ อย่าทำอีกนะ เมื่อเราก้าวมาจนป่านนี้ จุดนี้แล้ว เราต้องก้าวต่อไปให้ตลอด ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้พวกหนู’ ”
ด้านลุงสนิทก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดนี้ว่า รู้สึกเสียใจ แต่เมื่อผ่านมาแล้วก็ต้องให้กำลังใจกันไป
“เสียใจมาก แม่จะเอาตัวรอดไปคนเดียวแล้วพ่อกับหลานจะอยู่ยังไง ทีหลังอย่าคิดอย่างนี้ ต้องอยู่ไปด้วยกัน สู้ต่อไป มีเท่าไหนกินเท่านั้น ไม่ทิ้ง ก็กอดเขา ให้กำลังใจเขา”
หลังผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาได้ ด้วยกำลังใจจากคนในครอบครัว คือสามีและหลานๆ ดูเหมือนว่าบทบาทการเป็นที่พึ่งพิงของป้าวันเพ็ญยังคงดำเนินต่อไป เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ครอบครัวนี้ได้รับสมาชิกใหม่เข้ามาสมทบอีก 3 คน ทำให้ตอนนี้ในบ้านหลังนี้มีผู้อาศัยด้วยกันถึง 11 ชีวิต
“เป็นน้องชื่อน้องตูน ที่รู้จักกันมาก่อน ช่วงก่อนน้ำท่วมหลายปีแล้ว เขาเคยมาอยู่ด้วย ก็ลำบาก เราลูกผู้หญิงด้วยกันเห็นเขาลำบากเราก็อยากจะช่วยเหลือ โดยที่ไม่ได้รู้จักกันเลย เขาก็มาอยู่ด้วยพักนึงแล้วก็ไปมีครอบครัว แล้วเขาก็กลับมาอยู่กับเราใหม่ เขาไม่มีที่ไป มีลูกชายแล้วก็หลานสาวคนนึง”
เมื่อถามหญิงผู้นี้ว่า เคยรู้สึกโกรธหรือน้อยใจบรรดาลูกๆ ที่ทอดทิ้งหลานๆ ให้เธอเป็นคนดูแลบ้างหรือไม่ ป้าวันเพ็ญยอมรับว่าย่อมมีอารมณ์เหล่านั้น แต่ตอนนี้เอามาเปลี่ยนเป็นแรงใจในการตั้งใจเลี้ยงหลานทุกคนให้ดีที่สุดแทน
“บางครั้งเราก็โกรธ น้อยใจ เสียใจ เรารักพวกเขาแต่ทำไมเขาถึงทิ้งลูกให้เรา ทำไมเขาไม่คิดว่าพ่อแม่เรายังลำบากอยู่ ทำไมไม่อดทนที่จะทำงานทำการส่งเสียมาให้ลูก ให้พ่อให้แม่ อย่างน้อยๆ เดือนนึง 500-1,000 พ่อแม่ก็ดีใจแล้ว มันก็ยังเติมเต็มมาซื้อให้พวกลูกของเขากิน
แต่ตอนนี้เราคิดว่าไม่โกรธเขาแล้ว เพราะว่าเราเลี้ยงของเราได้ นี่คือกำลังใจและแรงผลักดันให้เราอดทนและต่อสู้ไปวันๆ นึง เรามีความสุขตรงนั้นมากกว่า
หลานคือกำลังใจของเราจนทุกวันนี้ เราอยากเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด นี่คือกำลังใจ อยากให้เขามีอนาคต เรามองดูลูกของเราที่เราเลี้ยง เราอยากให้เขาเรียนให้จบ มีงานทำ ไม่อยากให้เขาลำบากเหมือนเรา เหมือนพ่อแม่เขาที่ทิ้งขว้างพวกเขาไป”
นี่คือเรื่องราวชีวิตของป้าวันเพ็ญ ที่วันนี้ได้ทำหน้าที่เสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่หลานๆ และคนอาศัยได้พึ่งพิง ได้อยู่อย่างมีความสุข และยังสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจของเธอ ว่าเป็นผู้มีความเมตตาอย่างสูง ซึ่งความเมตตานี้จะเป็นสายใยที่จะเชื่อมให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
หากท่านใดต้องการมอบความช่วยเหลือครอบครัวนี้ สามารถโอนเงินไปได้ที่ ธนาคารออมสิน สาขาไทรน้อย ชื่อบัญชี ด.ช.นวพล อุระดา เลขที่บัญชี 020-279-159-469
สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **