ดรามา ม้า-อรนภา หลุดจากการเป็นพิธีกรรายการดัง หลังแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สะท้อนความพร้อมของไทย ที่เหล่าคนวงการบันเทิงออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ กูรูสื่อวิเคราะห์ กรณีล่าสุด อาจเป็นเพราะเจ้าของช่อง หรือสปอนเซอร์ จุดยืนขัดแย้งจึงไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
หนุนรัฐโดนแบน ต้านรัฐคนส่งเสริม?
กลายเป็นประเด็นร้อน สะท้านวงการบันเทิงกันเลยทีเดียว เมื่อมีกระแสข่าว ม้า-อรนภา หลุดจากการเป็นพิธีกรรายการ “ข่าวใส่ไข่” ช่องไทยรัฐ ทีวี หลังจากได้โพสต์ข้อความลงในอินสตาแกรม ต่อกรณีที่มีนักเรียนผูกโบขาว ชูสามนิ้ว ว่า “นอนแหก...อยู่บ้านไป ไม่ต้องมาเรียน เด็กเปรต” จนกลายมาเป็นดรามาที่หลายคนพร้อมแบน และทำให้หลุดจากการเป็นพิธีกรรายการในที่สุด
ดูเหมือนจะไม่จบเพียงเท่านี้ ยังลุกลามบานปลายไปกันใหญ่ เพราะคาดว่า รายการ 3 แซ่บ ที่เป็นพิธีกรประจำมานาน อาจจะปลดออกจากพิธีกรด้วย
หลังจากที่ ม้า-อรนภา โดนกระแสชาวเน็ตต่อต้าน อีกฟากของ เหมี่ยว-ปวันรัตน์ นาคสุริยะ ก็เกิดกระแสเรียกร้องให้ปลด และแบนจากการเป็นพิธีกรอีกราย จนทำให้ #เหมี่ยวปวันรัตน์ ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ โดยสาเหตุในครั้งนี้เกิดมาจากผู้ชมรับไม่ได้เพราะเจ้าตัวเคยขึ้นเวทีชุมนุม กปปส. จนทำให้เกิดรัฐประหาร
นับว่าเป็นคนบันเทิงที่ลุกขึ้นมาแสดงจุดยืนของตัวเองที่ชัดเจน ถึงแม้จะทัวร์ลง หรือมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาส่งผลกระทบต้องหลุดออกจากพิธีกรก็ตาม
ซึ่งในทางตรงกันข้าม มารีญา พูลเลิศลาภ นางงาม นางแบบ อดีตนักร้อง เจ้าของตำแหน่ง Miss universe Thailand 2017 เป็นอีกหนึ่งคนในวงการบันเทิงที่แสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจน ที่ก่อนหน้านี้ ได้ออกมาทวีตภูมิใจนักศึกษาไทยพูดถึงเหตุการณ์ที่นักศึกษาออกมาจัดแฟลชม็อบต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงได้เข้าร่วมชุมชุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกด้วย
นอกจากนี้ ก็ยังมี แม็กซ์ เจนมานะ ทวีตเป็นกำลังใจพร้อมตั้งคำถามถึงสิทธิที่โดนคุกคาม ให้กับ ฮอกกี้ เดชาธร ศิลปินจาก Rap Against Dictatorship เจ้าของเพลง ประเทศกูมี ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวตามหมายจับหลังจากขึ้นเวทีชุมนุม
ขณะเดียวกัน จากกรณีการรวมตัวแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษาในหลายพื้นที่ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เรียกร้องให้รัฐบาลทำตามข้อเสนอ 3 ข้อ คือ การเรียกร้องให้ยุติการคุกคามผู้เห็นต่างทางการเมือง ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภาผู้แทนราษฎร
งานนี้ก็มีคนบันเทิง ศิลปิน ดารา และผู้กำกับ ออกมาเคลื่อนไหว แสดงความเห็นหนุนเสรีภาพเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไอซ์ พาริส, เจเจ กฤษณภูมิ, ปอร์เช่ ศิวกร, เจมส์ ธีรดนย์, เติร์ด ลภัส, คริส พีรวัส, แบงค์ ธิติ, แจ๊คกี้ จักริน, แม็กซ์ เจนมานะ, ณัฐ ศักดาทร, โจ๊ก โซคูล, กัน อรรถพันธ์, ใบเฟิร์น อัญชสา, ย้ง ทรงยศ, นนท์ ศดานนท์, พิมฐา, ยอร์ช ยงศิลป์, ฟลุค พชร, แสตมป์ อภิวัชร์, ฝ้าย BNK48
ดูเหมือนจะมีคนดัง ดารา และคนบันเทิงจำนวนมาก ออกมาขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม โดยที่ไม่สนใจว่าจะส่งผลต่อหน้าที่การงาน เนื่องจากมองว่าการออกมาประท้วง หรือเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมกันของสังคม เป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคนที่ควรจะทำ ซึ่งมีทั้งฝั่งหนุนรัฐบาล กับต้านรัฐบาล ซึ่งคอการเมืองส่วนใหญ่ก็วิเคราะห์กันว่า คนที่ถูกแบนส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งที่ออกมาหนุนรัฐบาล
ทั้งนี้ ทีมข่าว MGR Live ได้ติดต่อไปยัง ผศ.ดร.พรทิพย์ เย็นจะบก อาจารย์ประจำภาควิชานิเทศศาสตร์และสารสนเทศ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรู้เท่าทันสื่อ ให้ช่วยสะท้อนถึงดรามากับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของเหล่าคนดัง โดยสะท้อนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นเท่ากันหมด ไม่สามารถตัดสินว่าใครเป็นแพ้หรือชนะ เพียงแต่ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นให้ได้
“โดยธรรมชาติพี่ม้าวิจารณ์หลายเรื่อง วิจารณ์เชิงลึกหลายๆ เรื่อง จริงๆ พี่ม้าก็ไม่ต้องออกจากรายการก็ได้ ถ้าพี่ม้าเข้มแข็งพอ เพราะการโดนกระหน่ำ หรือที่เขาเรียกว่าทัวร์ลง หลายๆ คนก็ทัวร์ลง แต่พี่ม้าไม่รู้ว่าจะประชดหรือเปล่า หรือเบื่อหน่ายแล้ว ฉันก็พยายามจะพูดให้มันดี ฉันก็จะพูดดี มันก็ไม่ใช่แค่พี่ม้า นักข่าวหลายคนก็ทัวร์ลงเหมือนกัน
คำว่าทัวร์ลงคือพลังของโซเชียลมีเดีย ถ้าพวกไหนมีโซเชียลมีเดียที่จะต่อต้านคนที่พูด มันก็จะลงโดยไม่คิดชีวิตเหมือนกัน แล้วถ้าทุกคนถอยก็ไม่ถูก
จริงๆ ไม่อยากให้พี่ม้าถอย ไม่ถูกเลย เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่แพ้หรือชนะ มันก็คือเราพูด เราเป็นคนดังเราต้องยอมรับว่ามีคนฟังเราเยอะ เราก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา เราต้องยอมรับมันให้ได้แค่นั้นเอง”
หลังเจอดรามาหนัก โพสต์บอกเด็กนักเรียนชู 3 นิ้ว ให้นอนแหกอยู่บ้าน ไม่ต้องมาเรียน ล่าสุด หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ก็ประกาศกลางรายการ ข่าวใส่ไข่ ว่า ม้า อรนภา ยุติการทำงานเป็นพิธีกรแล้ว
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ ยังสะท้อนถึงเรื่องนี้อีกว่า จุดยืนของแต่ละช่องไม่เหมือนกัน ถ้าจุดยืนผู้ร่วมรายการขัดแย้งกับเจ้าของสถานี ก็ไม่สามารถร่วมงานกันได้
“ถ้ารู้เท่าทันสื่อนะ ก็จะรู้ว่าคนที่สำคัญ คนวางนโยบาย คนคัดเลือกผู้ร่วมรายการ หรือสปอนเซอร์ในรายการชี้มาว่าต้องออก ไม่ได้หมายถึงรายการนี้นะ หมายถึงว่า ก็เห็นๆ อยู่ ในหลายๆ ช่อง ชี้มาต้องออก ถ้าคนนี้ยังอยู่ และยังพูดอย่างนี้ ฉันก็ถอนสปอนเซอร์
นโยบายของแต่ละช่องไม่เหมือนกัน จุดยืนของแต่ละช่องไม่เหมือนกัน เพระฉะนั้นถ้าจุดยืนของผู้ร่วมรายการไปขัดแย้งกับผู้อำนวยการ หรือเจ้าของช่อง มันก็จะเป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถร่วมงานกันได้ อันนี้ก็จะเป็นเหตุแห่งอันนั้นเหมือนกัน แต่อันนี้ไม่รู้จริงๆ ว่า ถ้าเป็นเหตุโดยส่วนตัวพี่ม้า เราก็อยากให้พี่ม้าอดทน แล้วก็ยอมรับ มันก็จะยืนยันจุดยืนของเราว่าเรามีจุดยืนแบบนี้ แต่พอถึงจุดหนึ่งพี่ม้าก็จะโดนทัวร์ลงในหลายๆ ครั้ง พี่ม้าก็ยังยืนหยัดอยู่ได้เลย”
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อยังฝากเตือนอีกว่า เป็นคนดังยิ่งต้องระวังในการแสดงออกทางความคิดสู่สาธารณะ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ เพียงแต่ต้องชี้นำ และมีเหตุผลที่ดีในการพูด และไม่สามารถตัดสินใครได้ว่าถูกหรือผิด ทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงจุดยืนของตัวเอง
“เตือนไว้เลยว่าคนดังยิ่งต้องระวัง คุณไม่มีสิทธิ์พูดอะไรตามใจตัวเอง เพราะมันจะถูก record จะถูกเผยแพร่ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณพูดเก่ง และชี้นำได้ มีเหตุผลที่ดีคุณพูด แต่คุณต้องดูตัวเองด้วยว่า คุณเป็นดาราที่มีแฟนคลับเยอะ หรือสามารถชี้นำสังคมได้ไหม หรือที่คุณเป็นดาราไม่เคยมีบทบาทในสังคมใดๆ เลย แล้วคุณจะลุกขึ้นมาพูดอะไรตรงนั้นไม่มีใครฟัง”
เทียบไทย-ต่างประเทศ คนดังกับจุดยืนทางการเมือง
“ต่างประเทศเขาไม่มีผลต่องานอะไรของเขา เพราะทุกคนเข้าใจ ทุกคนชอบดาราคนนี้ เพราะคุณแสดงเป็นแบบนี้ ทุกคนเข้าใจหมด นอกจากว่าคุณจะไปทำผิด สมมติว่าดาราอเมริกัน ไปกอดนางงามอินเดีย ผิดวัฒนธรรมเขา ประเทศนั้นก็จะตอบโต้แค่นิดหน่อย แต่ถามว่าก็ไม่มีผลอะไรกับการแสดง
แต่ดาราเขาจะไม่พูดถึงเรื่องการเมืองสักเท่าไหร่ ดาราพูดอย่างเช่น พูดเรื่องการทรมานสัตว์ การทารุณกรรมทางเพศ หรือโรคร้ายอะไรต่างๆ เขาพูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ หมายถึงว่าคำพูดเขาก่อให้เกิดการเคลื่อน แต่เรื่องประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เขาจะไม่พูด”
ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อยังมองอีกว่า เมื่อเทียบกับต่างประเทศ การแสดงความคิดเห็นของคนดัง หรือเหล่าเซเลบ ดารา ในการแสดงออก หรือแสดงจุดยืนทางการเมือง ไม่ส่งผลกระทบต่องานที่ทำอยู่
“เราต้องยืนอยู่บนพื้นฐานว่าทุกคนมีสิทธิ์พูดก่อนนะ เพราะฉะนั้นก็มีสิทธิ์ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และมันก็จะมีดารากลุ่มหนึ่งใช้คำหยาบ คำแรง ใช้คำเบอร์โต เพื่อให้รู้สึกซะใจกับวัยรุ่นสมัยนี้ เพราะฉะนั้นจะไปบอกว่าเด็กหยาบคาย ดาราเวลาคอมเมนต์อะไรออกมาก็หยาบคายเหมือนกัน
ก็อยากให้ดาราพูด เพราะดาราบางคนก็แฟนคลับเยอะ อาจจะมีส่วนในการโน้มน้าวก็ได้ แต่ตอนนี้ยากแล้ว เอาเป็นว่า ณ ตอนนี้นะ ใครพูดอะไรไม่ฟัง เพราะว่ามันเป็นขบวนการเคลื่อนที่มันไปใหญ่ แล้วก็มีอะไรที่อยู่ภายใต้การเคลื่อนไหวนี้อีก”
ขณะเดียวกัน ก็มองว่า ความพร้อมของคนดังในไทย ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง จะมีความสำคัญขึ้นมาในสังคมทันที ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ
“อันดับแรก การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ในการที่จะตกเป็นข่าว คือ เขาจะต้องเอาความสำคัญของบุคคล เพราะฉะนั้นคนเป็นคนดัง เขาเรียกว่าคนของประชาชน นักการเมืองก็คนของประชาชน ทำหน้าที่แทนประชาชน เพราะฉะนั้นเขามีตำแหน่งในสังคมที่มันเป็น Somebody ไม่ใช่ Nobody เพราะฉะนั้นเราก็คาดหวังว่าสิ่งที่เขาพูดอาจจะมีคนฟังมากกว่าที่นางคนนั้นพูด นางคนนี้พูด
เพราฉะนั้นการที่ใครพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งอะไรก็ตาม คำพูดของตัวเองมันจะมีความสำคัญขึ้นมาในสังคมทันที เมื่อคนตั้งใจที่จะฟังว่าคุณเป็นบวกหรือลบ คุณเป็นฝ่ายไหนอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันก็ต้องระวัง
การที่พูด จริงๆ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะพูด เสรีภาพเท่ากัน คุณจะเป็น Somebody หรือ Nobody ฉันอยากพูด ฉันอยากแสดงความคิดเห็น ทุกคนในระบอบประชาธิปไตยมีสิทธิ์เท่ากัน”
ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อยังย้ำอีกว่า คนไทยไม่ถูกสอนในเรื่องการฟังผู้อื่น เพราะฉะนั้นต้องกลับไปคิดกันใหม่ว่า คำพูดที่ถูกนำเสนอออกมา มีการวิเคราะห์จากพื้นฐานความคิด ทางสังคม หรือทางวัฒนธรรมมากน้อยแค่ไหน หากจะเดินหน้ากันต่อไป ต้องกลับไปสอนวิธีคิดของทุกภาคส่วน
“ความคิดที่ไม่เหมือนกัน เราจะไปบอกว่าคนนั้นผิดแล้วฉันถูกมันไม่ถูกต้อง ถามว่าสิ่งนี้มันต้องปลูกฝังในสังคม หรือแม้กระทั่งตัวสื่อเองอยากให้เขาชนกัน อยากให้เอาคำพูดอันนี้ซึ่งเป็นคำพูดเล็กๆ ที่เอาให้เกิดเป็นคำพูดใหญ่โตขึ้นมา มันก็จะเป็นประเด็นในสังคม
ดาราเขามีไมค์ เขามีจอ เขามีสิ่งที่จะพูด สิ่งที่จะใช้ แล้วเขามีสิทธิ์พร้อมที่จะฟังเขานั่นแหละ ก็ขอให้เคารพในความคิดของกันและกัน หรือแม้แต่กระทั่งความคิดของเด็กทุกวันนี้ ผู้ใหญ่ก็ฟัง และก็ฟังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กกลุ่มไหน เด็กในโรงเรียน หรือในมหาวิทยาลัย
อาจารย์อยู่ที่นี่ก็ฟังเด็ก อาจารย์ก็เปิดพื้นที่ให้เด็กในห้อง แต่เด็กต้องฟังอาจารย์ด้วยนะ อาจารย์จะพูดไปก่อน แล้วหนูพูดว่ายังไง พอดีอาจารย์สอนเรื่องการคิดอย่างเป็นระบบ เพราฉะนั้นเรื่องนี้ประเทศไทยถ้าจะเดินต่อไป มันต้องกลับไปสอนวิธีการคิดของคนทุกภาคส่วน
วิธีการคิดมันก็จะมีฐานมาว่า คุณคิดจากฐานอะไร คิดจากฐานทฤษฎีไหน และสิ่งที่สำคัญ เมื่อคุณเข้าใจบทบาทผู้อื่นตรงนี้ คุณก็จะต้องยอมรับว่า ถ้าเขาเป็นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเขาก็ต้องพูดแบบนี้ เป็นทหารก็ต้องพูดแบบนี้ เป็นตำรวจก็ต้องพูดแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนพูดตามหน้าที่บทบาทของตัวเองทั้งนั้น
ถ้าเป็นประเทศอื่นที่การเมืองมั่นคง ทุกคนก็จะรอว่า เดี๋ยวพอ 4 ปี เคลื่อน มันค่อยเคลื่อนกันตรงนั้นไหม แต่ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้น มันตีกันไปหมดว่าประท้วงต้องการอะไร คุณแสดงความคิดเห็นอยู่บนพื้นฐานและข้อเรียกร้องอะไร ตอนนี้พอมันตีกัน มันก็เลยเกิดความขุ่นมัวในสังคม”
ข่าว : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม@maornapa, @marialynnehren, @maxjenmana
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **