ลูกป่วย - เมียทิ้ง ต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวคนเดียว! ลุงดำ เจ้าของร้าน “น้ำแข็งไสใจสู้” เล่าชีวิตแสนลำบาก ต้องลาออกจากงานประจำมาขายน้ำแข็งไส ควบงาน รปภ.กะดึก หลังลูกชายป่วยหนัก เคยท้อจน “อยากตาย” แต่เพราะเห็นหน้า “ลูก” ขอสู้ต่อจนถึงวันนี้!
จากงานประจำ สู่อาชีพพ่อค้าขายน้ำแข็งไส
“เรื่องดีๆ เห็นเเล้วยิ้ม ใครผ่านชอย SVOA ข้างๆ ป.กุ้งเผา ตอนซื้อเสร็จ ลูกเเกพยายามดิ้นให้เราหันมอง ก็ไม่อยากมอง คือสงสารจับใจ พอหันลงไปมอง สิ่งที่เห็นคือน้องไหว้เรา เขาพิการ มือไม่สมประกอบ แต่พยายามไหว้ อยากให้เเวะชื้อเลยน้ำเเข็งไสเครื่องเยอะ อร่อยมาก จะซื้อกินทุกวัน ถ้าวันไหนเลิกเร็ว”
ภาพของคุณพ่อยอดนักสู้วัย 58 ปี ซึ่งขายน้ำแข็งไส โดยมีลูกชายผู้บกพร่องทางร่างกายติดตามไปด้วย ถูกพูดถึงและแชร์ไปอย่างต่อเนื่องท่ามกลางเสียงชื่นชมจากผู้ที่พบเห็น
จนได้ทราบมาว่าก่อนที่คุณพ่อรายนี้จะมาประกอบอาชีพขายน้ำแข็งไส เขาเคยเป็นพนักงานที่ห้างสรรพสินค้ามาก่อนที่ชีวิตจะพลิกผันหลังจากที่ลูกชายคนเล็กลืมตาดูโลก
“ตอนแรกผมเป็นผู้จัดการแผนกอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราษฎร์บูรณะได้ 2 ปี ทางสาขาก็ให้ไปเปิดสาขาใหม่ที่พัทยาอีก 2 ปี ตอนนั้นยังไม่มีน้องเกรป หลังจากครบ 2 ปี ผมก็ย้ายตัวเองกลับมา และอยู่ที่พระราม 2 อีก 2 ปี จนได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ราษฎร์บูรณะ
ร้านน้ำแข็งไสเริ่มตอนที่ว่าไม่มีใครดูแลเขา ไม่มีเลี้ยงเขา ผมเลยคุยกับแฟนว่าแฟนจะเป็นคนเลี้ยง หรือให้ผมเป็นคนเลี้ยง แฟนบอกว่าเลี้ยงไม่ได้ เราก็เลยต้องเลี้ยง ตื่นเช้ามาก็ไปลาออก”
“ลุงดำ - นิวัตต์ เสถียรชัยสกุล” เจ้าของร้านรถเข็น “น้ำแข็งไสใจสู้” เล่าย้อนเหตุการณ์ชีวิตหลังจากยื่นใบลาออกจากงานประจำ เพื่อเดินหน้าสู่เส้นทางค้าขายเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว
โดยก่อนหน้าที่มาจะมาลงเอยด้วยการขายน้ำแข็งไส ลุงดำเล่าว่าเคยลองทำมาแล้วหลายอย่าง ทั้งขายกล้วยทอด ขายน้ำ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด
“ผมเลี้ยงลูกได้ระยะหนึ่ง เงินก็เริ่มร่อยหรอเพราะว่าลูกอีก 2 คนก็ยังเรียนอยู่ แต่ลุงโชคดีที่มีคนเอาสูตรกล้วยทอดมาบอก มาสอนให้ เขาสงสารลุงกับลูก ขายได้ประมาณ 2-3 เดือน ถ้าแค่รสชาติดี ยังไม่ได้ ต้องมีคนบอกว่าอร่อย นั่นแหละคือสำเร็จ แต่ตอนนั้นมันแค่พอใช้ แค่ดี แต่ไม่ได้อร่อย
ผมก็เปลี่ยนมาขายน้ำ น้ำชา โอเลี้ยง ลำใย ก็ยังไม่เวิร์กอีก พอดีว่าตรงหน้าตึกที่ลุงมาขายอยู่ เขามีเครื่องใสน้ำแข็ง เขาถามว่าเอาไหมเครื่องไส ลองขายน้ำแข็งใสดูสิ อาจจะดีก็ได้ เขาก็ให้ผมผ่อนวันละ 50 บาท ผมก็เอา จะมีรถเข็นอีกคันก็เริ่มขาย ขายดี เที่ยงครึ่งก็ได้กลับบ้านแล้ว”
แม้อาชีพขายน้ำแข็งไสจะดำเนินไปได้ด้วยดี ที่สำคัญคือใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ขายหมดปิดจ็อบกลับบ้านได้ ทว่า รายจ่ายก็ยังพุ่งสูง เพราะลุงดำต้องดูแลเลี้ยงลูกๆ ซึ่งยังเรียนไม่จบอีก 2 คน จากตรงนี้จึงทำให้เขาต้องหารายได้เสริมด้วยการไปสมัครงานรักษาความปลอดภัยในช่วงกลางคืน
“ขายดีก็จริง แต่เงินก็ยังไม่พอ เพราะลูกอีก 2 คนยังเรียน คนโตผู้ชาย คนที่สองคือผู้หญิง เราก็คิดว่าทำยังไงล่ะ เงินไม่พอ ก็เลยไปเป็น รปภ. ตอนกลางคืน เพราะกลางวันเราขายน้ำแข็งใส ทำได้ระยะหนึ่งแม่ผมเสีย ตอนทำงาน รปภ. ผมพาลูกไปด้วย เขาเป็น รปภ.กับผม 1 ปี
แต่เราก็มาคิดว่าภาพที่คนอื่นมองมามันจะไม่ดี เหมือนเราเอาลูกมาทรมาน ลุงก็เลยตัดสินใจลาออก หลังจากนั้นผมก็มีทุนทำรถเข็นน้ำแข็งไสใหม่ที่ดัดแปลงให้พาลูกมาด้วยได้”
มีทุกวันนี้เพราะ “ลูก”
“เกรป (ลูกชาย) เข้าใจสิ่งที่เราพูดคุย แต่เขาไม่สามารถตอบสนองกับเราได้ เขาพูดไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ผมก็พยายามฝึกฝนเขาทุกอย่างที่สามารถทำได้ ลูกของผมโดนหมอเจาะไขกระดูกสันหลังตั้งแต่แรกเกิด แฟนผมก็ทิ้งเขาไป ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมต้องหาวิธีการแก้ไข รักษาเขา ดูแลเขา”
ลุงดำ เล่าด้วยเสียงราบเรียบแต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม เขาเล่าย้อนด่านพิสูจน์ชีวิตในช่วงที่ยากลำบากที่สุด เมื่อพบว่าลูกชายวัย 8 เดือนไม่สามารถตั้งคอและหลังให้ทรงตัวได้ ทว่า แพทย์ที่รักษาก็ไม่สามารถให้คำตอบได้แม้จะพยายามเจาะเลือดและไขสันหลังไปตรวจอยู่หลายครั้ง
“แรกเกิดเหมือนเด็กทั่วไปเลย คลอดมาน้ำหนัก 3 โลครึ่ง ลูกของลุงคลอดมาแล้วร้องไห้ผิดปกติ ลุงเป็นคนอุ้มเขาเองและบอกภรรยาว่าให้ถามหมอว่าร้องไห้ผิดปกติ เป็นเพราะอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าลูกเราอยู่ห้อง ICU ความเห็นของหมอบอกว่าไม่ทราบสาเหตุ
โดยปกติเด็กอายุ 8 เดือน คอกับหลังต้องตั้งชัน พร้อมที่จะยืน แต่ลูกคือคอกับหลังอ่อน ผิดปกติจากเด็กทั่วๆ ไป ตอนมารักษาที่โรงพยาบาลเด็กบอกว่าเขาจะอยู่กับเราได้ไม่นาน
แต่การที่บอกให้ทำใจของอาจารย์หมอ ตรงนี้ทำอะไรผมไม่ได้ ผมไม่ยอม ยิ่งต้องหาวิธีการแก้ไขว่าจะทำยังไงต่อไป อย่ามัวแต่นั่งทำใจ มันไม่ถูกต้อง”
แม้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากคำพูดที่บอกให้เตรียมใจ เพราะลูกอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่จิตใจของคนเป็นพ่อไม่เคยยอมแพ้สักนาที เขายังเชื่อว่าสามารถดูแลลูกชายคนเล็กคนนี้ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ แม้ว่าจะด้วยลำแข้งของตัวเองเพียงคนเดียวก็ตาม
“ผมพาเขาออกกำลังกาย เมื่อเขาออกกำลังกายเองไม่ได้ เราต้องช่วยเหลือเขา อย่างการกำลูกบอลให้เขาพยายามบีบ ของเล่นก็หามาให้เขาเล่น ที่ผ่านมาก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นพอสมควร เขาสามารถพลิกตัวเองได้ สามารถยกแขน ยกขา ยกมือได้ เราไม่หยุดเรื่องออกกำลังกายแน่นอน เราต้องศึกษาทุกสิ่งอย่าง
ถึงแม้ว่าจะมีคนบอกว่าให้เอาเขาไปทิ้งไว้ที่กรมประชาสงเคราะห์ ผมอึ้งนะ คนอื่นจะทำยังไง ผมไม่รู้ แต่มันไม่ใช่ผม ผมบอกเลยผมทำให้เขาเกิด ผมต้องรับผิดชอบ
ผมดูแลเขาตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบันนี้ ถามว่าท้อไหม อยากฆ่าตัวตายไหมก็มีบ้างช่วงแรกๆ มันเหนื่อย เพราะเราไม่รู้จะทำยังไง เขาต้องกินยาตลอดชีพ ตอนนี้เรื่องยาเขาไม่เสียค่าใช้จ่ายก็จริง แต่ค่ารถไป-กลับก็ต้องใช้เงิน ผมเหนื่อยกาย แต่ยังไม่เหนื่อยใจ”
กว่า 10 ปีได้แล้วที่ลุงดำดำรงชีพตนและลูกชายด้วยการขายน้ำแข็งไส โดยปัจจุบันน้องเกรปลูกชายคนเล็กมีอายุ 19 ปี ขณะที่หลังจากที่มีคนนำเสนอเรื่องราวของลุงดำออกไปทำให้มีผู้ใจบุญติดต่อมาช่วยเหลือจำนวนมาก รวมถึงผู้ที่เห็นลุงดำเป็นไอดอลในการสู้ชีวิตก็ติดต่อมาขอคำแนะนำเรื่องการค้าขายด้วยเช่นกัน
“มีคนติดต่อมาหาครับ เขาเปิดร้านขายของชำแล้วดูสื่อก็อยากทำ โทร.มาหาลุง ผมก็แนะนำไปทำอะไรต้องใจกว้าง อยากให้ลูกค้าติดใจก็ต้องใจกว้าง อย่าไปหวงของพวกนี้ ให้เขาเต็มที่เลย ปัจจุบันลุงขายได้วันละ 70 ถ้วย ได้กำไรประมาณ 300-400 บาทต่อวัน ขายมา 10 กว่าปีแล้ว”
เคยท้อจนคิดฆ่าตัวตาย
“ผมบอกลูกว่าจะสู้กันต่อไป ดูสิว่าใครจะไปก่อนกัน อย่างน้อยผมไม่ไปก่อนแน่ จะดูแลเขา ดูแลตัวเองด้วย ถามว่าทุกวันนี้ที่ผมมีกิน ยังอยู่ได้ก็เพราะเขา มีความสุขสบายใจได้ก็เพราะเขา เพราะเราอยากจะทำเพื่อเขา”
แม้ภาพที่เห็นตรงหน้าคือชายผู้ต่อสู้เพื่อครอบครัวอย่างเข้มแข็ง แต่กว่าจิตใจจะแกร่งได้อย่างในวันนี้ เขาได้ผ่านมรสุมชีวิตมากมาย ไม่เพียงแต่ความรู้สึกท้อใจในชะตาชีวิต แต่ยังเครียดจนถึงขั้นอยากฆ่าตัวตายก็เคยมาแล้ว
ทว่า หลังจากที่เขาได้เดินทางไปที่สถาบันสิรินธร เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ การตัดสินใจว่าอยากจบชีวิตลงก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
“ผมไปที่ศูนย์สิรินธร ปากเกร็ด เขาให้ลุงไปยืนดูตามห้องต่างๆ ยิ่งกว่าลูกเราอีก นอนท่าไหน ท่านั้น อาจารย์ก็ถามว่าลูกเราตอบสนองเราได้ไหม เล่นกับเราได้ไหม ดีกว่าเด็กคนอื่นๆ ในห้องไหม เราตอบใช่ และยกมือขอบคุณอาจารย์ ตรงนี้ทำให้กลับมาสู้ต่อ
เราต้องอย่ามองว่าเขาเป็นเด็กพิการ นั่นคือปมด้อยของเราและเขา ถ้าเราดูเขาเป็นเด็กพิการ จิตใจเราจะห่อเหี่ยว ให้มองว่าเขาเป็นเด็กที่ยังไม่โต ที่ไม่ยอมโตและอยากเป็นเด็ก ฉะนั้น ผมก็ทำให้เขาเป็นเด็กซะเลย กำลังใจเราจะเพิ่มขึ้นก็จะเหนื่อยน้อยลง มีแรงที่จะสู้ต่อไป
เมื่อเขาไม่ยอมโต เลี้ยงยังไงก็ไม่ยอมโต ไม่โตก็ไม่โตก็เล่นกันเป็นเด็กไปเลย สนุกนะ ผมไม่ยอมให้เสียชีวิตง่ายๆ ใครจะว่ายังไงก็ช่างว่าทำไมไม่ปล่อยเขา ผมไม่ปล่อย อยากให้เขาอยู่กับผมนานๆ รอยยิ้มลูกทำให้ผมมีกำลังใจนะ มันเบิกบาน เวลาเขาดีใจหรือชอบอะไรจะแสดงออก เวลาโมโหก็สุดยอดเลย(ยิ้ม)”
เมื่อลองถามลุงดำว่ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ตนได้เป็นคนโด่งดัง และถูกยกย่องว่าเป็นคุณพ่อนักสู้ในสังคมออนไลน์ไปแล้ว ลุงดำได้เปิดใจว่าขอขอบคุณคนที่นำเรื่องราวของตนไปบอกเล่า เพื่อเป็นกำลังใจให้คนที่ท้อชีวิต และขอบคุณลูกค้าที่มาช่วยอุดหนุน รวมถึงช่วยเหลือสมทบเงินดูแลลูกชาย
“เท่าที่รู้คือ ลุงเข็นขายน้ำแข็งไสในระยะทางที่พอสมควร ตั้งแต่นอกถนนสุขสวัสดิ์จนถึงบิ๊กซี สุขสวัสดิ์ พระประแดง มีท่านหนึ่งแอบมอง ลุงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะลงโซเชียลฯ ให้ การที่เราโด่งดังขึ้นมาต้องขอขอบคุณลุงคนนั้นด้วย และน้องกระเป๋ารถเมล์สาย 15 เพราะลงโชเชียลฯ ให้ด้วยเหมือนกัน
ชีวิตเปลี่ยนไปไหมก็เปลี่ยนนะ แต่อาชีพไม่เปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยนไปในทางบวก ในการดูแลลูก ให้เขามีกิน มีใช้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าเราได้เงินมาน้อยก็ตาม แต่เงินตรงนี้มีคุณค่า มีคนมาช่วยเหลือหลักแสน
ถามว่าลุงทำไมไม่ซื้อบ้านล่ะ ลุงไม่ซื้อ ถ้าซื้อแล้วเป็นหนี้ ลุงไม่ซื้อ ก็เช่าไปก่อน เก็บเงินให้ได้ตามที่เราต้องการ ซื้อแล้วต้องไม่เป็นหนี้
สุดท้าย ลุงขอฝากร้านของลุงนะครับ ขายตั้งแต่ 11.30 - 14.00 น. ที่หน้าบริษัท SVOA ซอยสุขสวัสดิ์ 28 หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 099 - 396 - 4553 ลุงขายถ้วยละ 10 บาท พร้อมใจที่จะทำ พร้อมใจที่จะขาย ถามว่าลุงขาย 10 บาทลุงอยู่ได้ รับรองสังคมนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น”
สัมภาษณ์ รายการ พระอาทิตย์ Live
เรียบเรียง MGR Live
เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **