“ไม่ได้ดูว่าเป็นไทย...หรือคนต่างชาติ ช่วยได้เราก็จะช่วย” เปิดใจคุณหมอใจบุญ ช่วยชุบชีวิตคนไข้ชาวลาว หลังไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา แม้ถอดใจขอกลับไปตายที่บ้าน!! ไม่หวั่นแม้กระแสเชิงลบ ขอรักษาคนไข้ให้หายดี
ระดมทุนรักษาคนไข้ แม้ญาติถอดใจ!!
“เอาไงดีพี่ก๊อต คนไข้ลาว ญาติจะเอากลับไปตายที่บ้าน แต่ผมรักษาได้ ผมรักษาหายได้ อายุไม่เยอะ มีลูกเล็กๆหลายคน รักษาจนหมดตัว เหลือแค่ 200 ค่าข้ามกลับไปยังไม่พอ ค่าข้าวกินแทบไม่มี”
กลายเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความประทับใจให้สังคม หลังมีการแชร์เรื่องราวของทีมแพทย์ที่มีน้ำใจช่วยเหลือคนลาวฐานะยากจน มีเพียงเงิน 200 บาท ประคองชีวิต ซึ่งไม่มีเงินรักษา จนถอดใจขอกลับไปตายที่บ้าน
“หลังจากนอนโรงพยาบาล ญาติปรึกษากันว่าจะเอาตัวคนไข้กลับ เพราะเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และดูอาการแย่ลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายคำนวณมาแล้วมันสูงมาก เพราะคนไข้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ
เขายืนยันว่ายังไงก็ขอกลับบ้าน ผมเลยบอกว่าขอให้อยู่ต่อก่อน อยู่สัก 1-2 คืน เผื่ออาการจะดีขึ้น เขาก็ยอม เลยบอกเขาว่าถ้าไม่มีเงิน ก็รักษาไปก่อน เดี๋ยวทางโรงพยาบาล หรืออาจจะมีคนมาช่วย เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง”
“นพ.ราชันย์ จันทร์อ่อน” หรือ “หมอเก่ง” วัย 44 ปี แพทย์เฉพาะทางอายุรกรรม โรงพยาบาลมุกดาหาร ได้เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live หลังมีการแชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นประมาณ 3-4 วันที่แล้ว มีคนไข้มารักษาตัวที่รพ.มุกดาหาร หลังไปรักษาที่สะหวันนะเขต ประเทศลาว แล้วอาการไม่ดีขึ้น ญาติก็เลยขอมารักษาต่อที่โรงพยาบาลมุกดาหาร
จนกระทั่งคนไข้มีอาการหายใจไม่สะดวก จึงต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ และมีความดันต่ำ มีภาวะช็อก รวมทั้งมีโรคประจำตัวเบาหวาน ซึ่งเมื่อตรวจและทำการรักษา แพทย์พบว่าติดเชื้อเมลิออยด์ (Melioidosis) ในกระแสเลือด และปอด เป็นเชื้อที่มีอัตราการตายสูงมากกว่าตัวอื่นๆ
“ตอนแรกเขามีอาการหายใจออกเหนื่อย เราก็ต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ และมีความดันต่ำ มีภาวะช็อก จึงต้องรักษาอย่างใกล้ชิด
ต่อมา ผลเพาะเชื้อ พบเป็นเชื้อเมลิออยด์ เป็นเชื้อแบคทีเรียตัวหนึ่ง ซึ่งพบมากที่สุดแถวภาคอีสาน เจอเยอะมากที่มุกดาหาร และฝั่งลาว ซึ่งเชื้อตัวนี้จะขึ้นปอด และในกระแสเลือด
จากสถิติที่ผ่านมาที่โรงพยาบาลมุกดาหาร อัตราเสียชีวิตประมาณ 20% แต่ค่าเฉลี่ยของประเทศไทยจะอยู่ที่ 30-35% ถ้าติดเชื้อตัวนี้ ระยะเวลาในการรักษานี้นาน ยาฉีดอย่างน้อย 14 วัน จนกว่าอาการจะดีขึ้น บางรายก็ฉีดเป็นเดือน และต่อเนื่อง ยากินอีก 5 เดือน และเมื่อประเมินคนไข้ คิดว่าน่าจะมีโอกาสรอดได้”
อย่างไรก็ดี หมอเก่งวินิจฉัยอาการของคนไข้ พบปอดบวม ความดันก็ดี ปัสสาวะออกดี ไตก็ทำงานดี ประเมินคนไข้ดูแล้วน่าจะมีโอกาสรอดได้ 80% จึงขอทำการรักษาต่อ แต่ทางด้านภรรยาของผู้ป่วยยืนยันจะเอากลับ เพราะเห็นว่าน่าจะมีค่ารักษาที่สูง แต่ทีมคุณหมอไม่อนุญาตให้ครอบครัวของเขาทำแบบนั้น มั่นใจว่าจะรักษาคนไข้รายนี้ได้
“ก็ขอดูอาการสักคืนหนึ่ง เพราะว่าปัสสาวะออกดี ความดันก็เริ่มดีขึ้น แต่มีอาการหอบ คิดว่าน่าจะดีขึ้น ก็เลยย้ายไปห้อง ICU จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด มีข้อต่อรองว่าอยู่รักษา 1 คืน
เช้าวันถัดหลังจากยื้อได้ 1 คืน คนไข้ก็ยังดูทรงๆ อยู่ ไม่ได้ทรุดลง ไตทำงานดี มีแต่หอบ บางครั้งให้ยานอนหลับเพื่อที่จะหายใจตามเครื่องได้ ญาติเขาก็ยืนยันจะเอากลับอีกรอบ เพราะค่าใช้จ่ายมันจะสูง มันตกวันละหมื่นกว่าบาท ผมก็เลยบอกเขาว่า ไม่เป็นไร อยู่สู้ต่อก่อน เพราะว่าประสบการณ์ที่ผ่านมา เราเคยรักษาคนไข้กลุ่มโรคพวกนี้ รอดหลายราย มีโอกาสรอด 80%
คิดว่ามีโอกาสจะตาย 100% เลยถ้านำตัวกลับไป ก็เลยขอให้อยู่ต่อ ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร รักษาให้หายดีก่อน ค่อยหาเงินมาทีหลัง เดี๋ยวมีคนช่วย แต่ถ้าไม่มีคนช่วยเราก็คิดไว้ว่าเผื่อหาเพื่อนฝูงมาช่วยเหลือ”
ทั้งนี้ เมื่อพบว่าครอบครัวผู้ป่วยไม่มีเงินรักษา หมอเก่งจึงได้โพสต์ถามในกลุ่มไลน์เพื่อนที่เป็นหมอ ปรึกษากันว่าจะช่วยคนไข้ชาวลาวรายนี้ได้อย่างไร เพราะเขามีโอกาสรอด แต่มีปัญหาเรื่องเงิน จึงประเมินค่าใช้จ่ายแล้วตกวันหนึ่งหมื่นกว่าบาท จนในที่สุดใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ก็ตัดสินใจลงขันในกลุ่มเพื่อน ได้เงินมาประมาณ 6 หมื่นบาท
“ตอนแรกไม่ได้บอกนะครับว่าจะมีเงินช่วยค่ารักษา เพราะคิดว่าค่อยคิดเรื่องนี้ ค่อยหามาจ่ายให้ ถ้าไม่มีเราจะหาทางช่วยให้
ตอนนี้เขาก็โล่ง และดีใจที่มีทั้งคนไทย และคนลาวให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือประมาณหนึ่ง พอมีกำลังใจที่จะสู้ไปด้วยกัน ก็เลยบอกคนไข้ ภรรยาเขากับลูกว่าสู้ให้ถึงที่สุด เพราะตอนนี้ยากระตุ้นความดันก็ออกหมดแล้ว แต่ยังต้องให้ยานอนหลับอยู่
“ตอนนี้เฉลี่ยตกวันละ 1 หมื่นบาท คำนวณไว้ว่า 15 วัน ประมาณ 150,000 บาท ยังไม่รวมค่ากิน เพราะต้องติดตามการรักษาอีก กินยาต่ออีก 5 เดือน และจะนัดทุกเดือนในตอนหายดี แต่ตอนนี้อยู่ในภาวะวิกฤตก็ต้องอยู่ในห้อง ICU เราคำนวณเฉลี่ยตกวันละหมื่นบาท รวมทั้งค่าดูแล ค่ายา ค่าเครื่องหายใจ ค่าออกซิเจน”
“ชีวิต” สำคัญกว่า “เงิน”
“ผมได้การช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม ช่วยกันมา 4-5 ปีแล้วครับ คือใครเดือดร้อน หรือทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ทำบุญวัด หรือซื้ออุปกรณ์การแพทย์ เราก็จะขอคนละนิดคนละหน่อย เราทำมานาน ทำกันหลายคน หลายโรงพยาบาล
ถ้ามีที่เดือดร้อน เราเปิดแค่ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่สนิทครับ แค่คืนเดียว เราคำนวณว่าน่าจะพอ เราก็ปิดยอดเลยครับ”
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเล่าให้ฟังอีกว่า ได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และทำบุญแบบนี้กับกลุ่มเพื่อนมานานแล้ว และโดยส่วนตัวมองว่าชีวิตของคนเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ก็ไม่ลังเลที่จะช่วย
“เห็นชีวิตสำคัญกว่าครับ เพราะว่าคิดว่าตอนนั้นถ้าเรายังมีชีวิตอยู่เราต้องสู้จนถึงที่สุด ก็จะให้กำลังใจคนไข้ทุกรายอยู่แล้ว เพราะว่ามารักษาแต่ละคนก็อาการหนักๆ เราต้องเจอคนไข้หนักๆ อยู่แล้ว ตอนนอนอยู่ในห้อง ICU เราก็จะให้กำลังใจญาติ เพราะว่าชีวิตสำคัญที่สุด ส่วนเงินค่อยว่ากันทีหลัง เราสามารถหาได้ ทุกปัญหามีทางออกอยู่แล้วครับ
อาการล่าสุดตอนนี้คนไข้ยังอยู่ห้อง ICU อาการเขายังทรงๆ อยู่ครับ ตอนนี้ยากระตุ้นความดันก็เอาออกแล้ว แต่ยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ และต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ก็ช่วยเต็มที่ บอกญาติไปแล้ว ญาติก็มีกำลังใจที่จะสู้ด้วยกัน
ประสบการณ์รักษาคนไข้ที่เป็นคนไทยก็เจอเยอะ ก็นอนโรงพยาบาลเหมือนกัน แต่คนไทยจะสบายใจนิดนึง คือค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะเต็มที่ ยาทางโรงพยาบาลเราก็จัดให้เต็มที่ เพราะมีบัตรทอง สามารถรักษาได้ฟรี คนไทยจะไม่มีปัญหาอะไรเลยในเรื่องการรักษา ดูแลโรคเหล่านี้”
นอกจากนี้ เมื่อถามเขากลับไปว่าทำความดี ปิดทองหลังพระมาหลายปี แต่เพิ่งมีคนมาเห็น รู้สึกท้อบ้างมั้ย รวมทั้งถูกมองว่าทำความดี เพราะสร้างกระแสให้ดูมีภาพลักษณ์ที่ดีหรือเปล่า หมอใจบุญรายนี้หัวเราะออกมา พร้อมบอกกับทีมข่าวว่า เป็นความตั้งใจที่จะดูแลคนไข้อย่างดีที่สุด ไม่ได้สร้างกระแสอย่างใด
“มีความภาคภูมิใจ ก็เป็นความตั้งใจที่จะดูแลคนไข้อย่างดีที่สุดครับ ไม่ได้ดูว่าเป็นไทย คนลาว หรือคนต่างชาติที่ไหน ทุกอย่างจะต้องมีทางออกอยู่แล้ว คนไหนมีปัญหา เราก็พยายามช่วย ช่วยได้เราก็จะช่วย
ที่เราโพสต์ขอ เราขอเฉพาะในกลุ่ม เราปิดยอดภายในคืนนั้นเลย แล้วเราก็ไม่ได้สร้างกระแส เพราะว่าทุกๆ ครั้งเราก็ทำแบบนี้ ที่โพสต์ลงเราแค่โพสต์ขอบคุณเฉยๆ เราไม่ได้โพสต์ขอเงินเพิ่ม เพราะว่าเราคิดว่าตอนนั้นเงินน่าจะเพียงพอแล้ว และถ้าเราโพสต์ขอต่อสาธารณะยอดเงินจะเยอะเกินไป และอาจจะทำให้มีปัญหาหลายอย่างตามมา ตอนนั้นเราปิดยอดได้แค่ประมาณ 62,500 บาท คิดว่าพอเพียงแล้ว แล้วก็หยุดเลยครับ”
ไม่เพียงแค่นี้ ตลอดบทสนทนา หมอใจบุญรายนี้มักจะย้ำให้ทีมข่าวฟังเสมอว่า เขาและทีมแพทย์ไม่ได้เปิดรับบริจาคเงิน หรือเรี่ยไรแม้แต่อย่างใด ข้อความที่เห็นเพียงแค่ต้องการขอบคุณบุคคลที่ช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันเงินก็เพียงพอต่อการรักษาแล้ว พร้อมทิ้งท้ายให้ฟังว่า ตอนนี้ขอแค่กำลังใจ ไม่ต้องการเงินเพิ่ม
“มีทั้งคนหลังไมค์ และโทร.มานะครับ มีหลายรายที่ขอร่วมบริจาค แต่ผมบอกว่าพอแล้ว ยอดเงินเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว ต้องขอขอบคุณทุกท่านนะครับ และขอกำลังใจช่วยคนไข้ให้พ้นภาวะวิกฤตครั้งนี้ และได้กลับบ้านสะหวันนะเขต ฝั่งลาวพร้อมหน้าลูก และภรรยาครับ วันนี้เราก็มีภูมิใจ และรอเห็นบรรยากาศแบบนั้น ตอนนี้ขอแค่กำลังใจ ไม่ต้องการเงินเพิ่มครับ”
ข่าวโดยทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **