สวย-แกร่ง-เผ็ด ทะลุทุกสนามแข่งขัน “โย ยศวดี หัสดีวิจิตร” จากนางแบบอาชีพสู่นักไตรกีฬาเต็มตัว! ฟิตซ้อมเตรียมแข่งสนามสุดโหด ภายใต้สมาคมไตรกีฬาโลก 'ไอเอิร์นแมน' ประเทศเยอรมัน ล่าสุด ความเก่งเข้าตาทีมชาติไทย ถูกทาบทามคัดตัว 'ปัญจกีฬา'แถมเปิดใจความรักในอดีตสุดปวดใจ ”วันนี้ฉันแกร่งขึ้นแล้ว!!”
“นักสู้วัวกระทิง” แห่งวงการไตรกีฬา!
“ไตรกีฬา มันไม่สำคัญว่าคุณจะต้องเก่งทุกอย่าง แต่คุณต้องจัดการ-บริหารแรงกำลังกับเวลาให้ดี ในการทำทั้ง 3 อย่าง ทั้งวิ่ง-ว่ายน้ำ-ปั่นจักรยาน มันต้องใช้ความอดทนสูงมากๆ เลยนะ”
“โย ยศวดี หัสดีวิจิตร” เปรยให้ฟังถึงการพิชิตการแข่งขัน 'ไตรกีฬา' ในสนามสุดโหด ก่อนเล่าถึงไทม์ไลน์การผันตัวสู่แวดวงไตรกีฬาที่เรียกได้ว่าทั้งโหดและปราบเซียนมานักต่อนัก!
“ไทม์ไลน์การเล่นไตรกีฬา เริ่มตั้งแต่ปี 2016 มีคนมาชวนให้ไปเล่นไตรกีฬา เราคิดว่าไตรกีฬามันต้องมีทั้งว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และวิ่ง ซึ่งตัวโยเองว่ายน้ำไม่เป็น การไปเรียนว่ายน้ำจึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะโยต้องเริ่มจากเบสิกเลย
หลังจากที่เรียนได้ 3 สัปดาห์ก็ได้ไปลงแข่งขันงานแรก ในงาน 'อัมรินทร์ เอาท์ดอร์' ซึ่งงานนั้นเองเราว่ายน้ำแล้วเจอแมงกระพรุนกันหนักมาก ถือว่าเป็นสนามที่ดุเดือดมากทีเดียว หลังจากนั้นโยรู้สึกเริ่มชอบแล้ว อยากมาเล่นแบบจริงๆ จังๆ ก็พยายามหาโค้ชฝึกสอนและเตรียมพร้อมร่างกาย
แต่ร่างกายโย ต้องยอมรับว่าเรามาจากนางแบบ ไม่ใช่นักกีฬา กระดูกเล็กมาก ซึ่งตอนที่เริ่มวิ่ง กระดูกหน้าแข้งร้าวเลยก็มี ต้องพักฟื้นไปหลายเดือน พอมาเล่นไตรกีฬาก็บาดเจ็บมาตลอด ส่วนใหญ่จะมาจากการวิ่ง เพราะเราใช้แรงกำลังที่ขาเยอะ มันทำให้หนึ่งปีแรกของการเล่นไตรกีฬา โยไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
โยลงแข่งขันไม่เคยได้ถ้วยเลย เวลาก็ไม่ดีขึ้น เพราะซ้อมไม่เป็นระบบ เพราะเข้าสู่ปีที่ 2 ในปี 2017 เรียกได้ว่าเป็นปีที่โยตั้งใจจริงๆ มีโค้ชฝึกสอนอย่างดีทุกอย่างจากต่างชาติ ถือว่าตั้งแต่กลางปี 2017 จนถึงตอนนี้ก็ทำผลงานได้ดี”
อย่างที่รู้กันดีว่าสนามแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน ถือเป็นสนามไตรกีฬาในฝันของนักแข่งขันหลายคน เธอคือหนึ่งในนักกีฬาเหล่านั้นที่ล่าสุดเร็วๆ นี้ได้เตรียมฟิตซ้อมร่างกายอย่างดี เพื่อเข้าแข่งขันไตรกีฬาในสนามที่ยากและท้าทายกว่าทุกสนามที่เคยผ่านมา
“การที่จะแข่งขันรายการไอเอิร์นแมนได้ เราต้องว่ายน้ำ 3.8 กิโลฯ เราต้องมีความแข็งแรงที่มากพอ ที่จะไปเยอรมันในอีก 2เดือนข้างหน้า เราต้องแข็งแรงตั้งแต่ว่ายน้ำก่อน แต่ถ้าเราอ่อนตั้งแต่ว่ายน้ำลงมา มันจะรู้สึกเหนื่อย พอเราต้องไปปั่นจักรยาน 180 กิโลฯ มันจะยิ่งเหนื่อยมากขึ้นไปอีก ความพร้อมจึงต้องมีทุกสเต็ป
โปรแกรมที่จะลงคือ ไอเอิร์นแมน 70.3 คือระยะครึ่งหนึ่งของฟูลไอเอิร์นแมน นั่นคือการว่ายน้ำ 1.9 กิโล ปั่นจักรยาน 90 กิโล วิ่ง 21 กิโล ซึ่งโยผ่านการแข่งขันมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ครั้งที่ 5 จะแข่งที่ประเทศญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งโยจะไปแข่งขันในฐานะคนไทย
ส่วนอีกสนามคือฟูลไอเอิร์นแมน มันเป็นระยะที่เยอะมาก ว่ายน้ำ 3.8 กิโล ปั่นจักรยาน 180 กิโล วิ่ง 42.195 กิโล ระยะนี้จะแข่งในเดือนกรกฎาคม ที่ประเทศเยอรมัน มันโหดเพราะเวลาที่จำกัดแค่ 15 ชั่วโมง มันค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เราจะเห็นผู้หญิงไทยจบระยะไอเอิร์นแมนจะเกิน 15 ชั่วโมงกันหมด มีต่ำกว่า 15 ชั่วโมงยังน้อย”
กว่า 2 ปีครึ่ง แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาที่ไม่นานนักที่เธอได้ชิมลางอยู่บนเส้นทางนักไตรกีฬาอย่างเต็มรูปแบบ แต่เธอก็ได้รับฉายาอย่างมากมาย หนึ่งในนั้นคือฉายา 'นักสู้วัวกระทิง' ที่เธอบอกกับเราเลยว่าได้รับฉายามาจากความอึด-ความแกร่ง-ความสู้ไม่ถอยของเธอล้วนๆ
“จริงๆ ฉายาที่ตั้งมีเยอะมากนะ มันน่าจะเกี่ยวกับความผอม ความอึด ความเป็นนักสู้ของเรา บางคนก็เรียกโยว่า 'นักสู้วัวกระทิง' ดูแล้วไม่น่าจะอึดได้ขนาดนี้ เพราะพื้นฐานจริงๆ เรามาจากนางแบบ ต้องรักสวย รักงาม ชีวิตไม่ชอบทำอะไรที่หนักๆ เหนื่อยๆ
แต่พอเวลาเล่นไตรกีฬา โยจะรู้สึกว่าเราไม่ได้เอาความเป็นผู้หญิงไปเล่นไตรกีฬา อันที่จริงก็อยากเป็นเหมือนวูแมน ไตรนะ แต่ทุกครั้งที่แข่งโยรู้สึกเลยว่าฉันก็แข็งแกร่งได้เหมือนผู้ชายเช่นกัน”
เส้นทาง “นางแบบ” ในวันที่ถึงจุด “อิ่มตัว”
“ชีวิตตอนนี้ไม่แมชกับสิ่งที่สวยๆ งามๆ เลย ทุกวันนี้โยซ้อม 6 วันต่อสัปดาห์ ส่วนวันที่พัก 1 วันก็จะว่ายน้ำ ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีวันหยุดเลย งานในวงการบันเทิงของโยจึงน้อยมาก อาจมีเห็นบ้างตามงานอีเวนท์ หรือในละครสั้นๆ ในอนาคต
สิ่งที่โยคิด ในเมื่อเราตัดสินใจทำอะไรให้มันชัดเจนแล้ว เราก็ต้องตั้งใจทำให้มันเต็มที่ ถามว่าคิดถึงการเดินแบบไหม ก็คิดถึงนะคะ แต่พอได้กลับไปเดินจริงๆ โยรู้สึกว่ามันเหนื่อย ทำไมเราถึงปวดขามากเลยเวลาใส่ส้นสูง มันอาจไม่ได้สนุกเหมือนแต่ก่อน”
จากนางแบบตัวท็อปของวงการเปิดใจกับเราถึงวันที่รู้สึกอิ่มตัวกับวงการนางแบบ จากเส้นทางนางแบบที่มีมายาวนาน เธออธิบายกับเราว่ามุมมองต่อวงการบันเทิงของเธอได้เปลี่ยนไป แถมยังมีความสนใจอยากลองทำงานด้านใหม่ๆ อย่างการทำรายการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกาย
“โยคิดว่าน่าจะลองทำงานด้านอื่นๆ สิ่งที่คิดว่าอยากจะทำต่อไป หลังจากที่เราเป็นนักกีฬาแล้ว โยอยากทำรายการทีวีที่เกี่ยวกับเรื่องกีฬาและการดูแลสุขภาพ
มุมมองต่อวงการบันเทิง พอโยมาเป็นนักกีฬา ต้องบอกเลยว่าสมัยก่อนโยใช้ชีวิตอย่างคนวงการบันเทิงจริงๆ รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิต แต่พอเป็นนักกีฬาเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้มีความสำคัญเท่าข้างใน ความสวยงามไม่ได้ทำให้โยเล่นกีฬาเก่ง ไม่ได้ทำให้โยแข็งแรงขึ้น
ตอนเป็นนางแบบอดอาหาร กินไม่ค่อยอิ่ม จับไปผอมก็จริง แต่มันนิ่มๆ เหลวๆ พอเป็นนักกีฬา ทุกวันนี้โยน้ำหนัก 61 โล ตอนเป็นนางแบบโยหนัก 49 โล คนถามมาจากไหน 12 โล(หัวเราะ) มันคือกล้ามเนื้อ โยมีความสุขกับชีวิตทุกวันนี้
จริงอยู่ที่ว่าวงการบันเทิงสอนเราอีกแบบหนึ่ง แต่ไตรกีฬาสอนเราให้มีชีวิตอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง มีชีวิตอยู่บนพื้นฐานของคำว่า 'สุขภาพ' และ 'การดูแลตัวเอง' ร่างกายคนเรามันคือทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถซื้อมาทดแทนได้นะ
เช่น ของหาย โทรศัพท์หาย เรายังซื้อมาแทนได้ แต่ถ้าสุขภาพเราเสีย มันคือการที่เราสูญเสียมันไปเลย มีเงินแค่ไหนเราซื้อมันกลับมาไม่ได้ ฉะนั้น ทุกวันนี้โยได้มาเจอกับชีวิตจริงๆ ที่รู้แล้วว่าทางเดินที่มีความสุขจริงๆ คืออะไร โยโชคดีที่มาเจอสิ่งๆ นี้ในวันที่ยังไม่สายเกินไป
หลังจากที่ผันตัวสู่สายกีฬาอย่างเต็มตัว แม้มีบ้างที่รู้สึกคิดถึงอาชีพนางแบบ แต่เธอยังคงหนักแน่นในทางที่ตัดสินใจว่าเมื่อเลือกที่จะทำสิ่งใดๆ แล้ว จะต้องทำให้เต็มที่และดีที่สุด
“ถามว่ารู้สึกเสียดายชีวิตในวงการบันเทิงไหม โยมองว่ามันครึ่งๆ ชีวิตนะคะ โยทำงานในวงการบันเทิงมาตั้งแต่วัยรุ่น เรียกว่าตั้งแต่ยังเด็กเลย จนมาถึงวัยกลางคน เราทำงานตรงนั้นมาเป็นความบันเทิงที่เราทำให้แก่คนอื่นๆ แต่เรามองกลับมาเราได้ทำอะไรเพื่อตัวเราเองบ้างหรือเปล่า
เรามีความสุขเวลาเรากลับบ้านมา เรากินอิ่ม นอนหลับไหม ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าชีวิตกระปรี้กระเปร่า มีไฟในตัวเองหรือเปล่า หรือแค่วันๆ ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ สมัยก่อนโยเป็นแบบนั้นนะ แต่มาเป็นนักกีฬา โยรู้สึกเลยว่าชีวิตโยกระปรี้กระเปร่า มันมีแพลนว่าตื่นมาวันนี้ฉันจะทำอะไรดี แพสชั่น(Passion)มันเยอะมาก
วงการนางแบบสำหรับโยจะเรียกว่าอิ่มตัวก็ได้นะ เพราะมันไม่มีอะไรที่เซอร์ไพร์สเราอีกต่อไปแล้ว โยทำทุกอย่าง ทุกมุมแล้วจริงๆ โยเห็นมาจนหมด เราใส่มาทุกแบบ มันไม่มีอะไรที่จะเซอร์ไพร์สเราได้อีก มันไม่มี แต่สิ่งอื่นมันยังมีอะไรที่เซอร์ไพร์สโยได้มากกว่านี้”
รักในอดีต “เจ็บปวด-ซึมเศร้า-(คิด)ฆ่าตัวตาย”
ทันทีที่เรื่องราวความรักในอดีตถูกบอกเล่าผ่านรายการ 'คลับ ฟรายเดย์' ที่ได้มีการพูดถึงรักครั้งเก่าที่ทำให้สาวโยรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุด จนถึงขั้นเคยคิดสั้นฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้า! ทำเอาหลายตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาว่าเพราะเหตุใดรักครั้งนั้นจึงทำให้เธอรู้สึกว่ามันเป็นความรักที่แลกมาด้วยความร้าวรานอย่างที่สุด
“มันเป็นความรักในอดีตเนอะ โยคิดว่าประสบการณ์ความรักของเรา ถ้ามันสามารถเป็นประโยชน์ให้กับใครได้บ้าง โยก็ยินดีที่จะเล่าให้ฟัง ในเคสของโยอาจตรงกับหลายๆ คนที่อยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัด หาทางออกไม่ได้ โยก็อยากที่จะช่วยแบ่งเบาความรู้สึกตรงนั้นว่า เราผ่านมาได้ ทุกคนก็น่าจะผ่านมาได้
แต่อยู่ที่ในสถานการณ์นั้นๆ คุณเลือกที่จะอยู่ในจุดไหนของเนื้อเรื่องต่างๆ มากกว่า ความสัมพันธ์ซับซ้อนมันจะมีอยู่ไม่กี่อย่างนะ เช่น เราไปยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้ว หรือถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเจ้าของ แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกชัดเจนกับเราได้ และอีกอย่างก็คือ ตัวเราเองกำลังสับสนในตัวเองหรือเปล่า
เราต้องแยกแยะให้ได้ก่อนว่าสิ่งที่เราต้องการ ณ จุดนั้นของความรักนั้นๆ มันคืออะไร บางคนบอกว่าฉันรักผู้ชายคนนั้นเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วโยอยากให้ลองมองหาข้อเปราะบางของความสัมพันธ์ให้เจอว่า จริงๆ แล้ว เราอาจจะไม่ได้รักเขามากมายขนาดนั้นก็ได้”
เมื่อถึงเวลาหนึ่งใครสักคนอาจต้องย้อนกลับมองความพยายามทั้งหมดนั้นว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นเพื่อสิ่งใด ที่สำคัญการรักตัวเองให้มากกว่าการรักคนอื่น คือสิ่งที่ความรักครั้งนั้นมอบบทเรียนเป็นหน่วยน้ำตาให้กับเธอจนถึงทุกวันนี้
“การที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถรักคนๆ หนึ่งได้จนสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเราเองได้จนหมด วันหนึ่งเราต้องเรียนรู้ว่ามันคงต้องมาถึงจุดที่เราต้อง 'พอ' จุดที่ต้องผ่อนคันเร่งตัวเองและถอยหลังออกมา เพื่อถามตัวเองว่าเราจะสู้ต่อไปเพื่ออะไร
ความรักของโยในอดีตค่อนข้างเกิดขึ้นอย่างไม่มีสติ ส่วนใหญ่จะมาจากความโมโห คนรอบข้างรุมเร้า จนลืมไปว่าจริงๆ แล้วเราควรจะรักตัวเอง ก่อนที่ไปแคร์ความรู้สึกคนอื่น
ตอนเราเกิดมาพ่อ-แม่ก็รักเรา กว่าเราจะมารักตัวเองได้ เราต้องใช้เวลาแค่ไหนกว่าจะเติบโตขึ้นมา แล้ววันหนึ่งที่เราสามารถรักตัวเองได้ เรากลับเอาความรักทั้งหมดไปทุ่มเทให้คนอื่น จนเราไม่เหลืออะไรเลย
โรคซึมเศร้าในยุคนี้กับเมื่อ 10ปีที่แล้ว มันค่อนข้างต่างกันนะ โรคซึมเศร้ายุคนี้มันจะถูกผูกขาดไปกับความต้องการจบชีวิต บางครั้งอาจเป็นการใช้ยาบางชนิดในการบรรเทาตัวเอง รวมไปถึงยาเสพติด โยว่าจริงๆ ซึมเศร้ามันมีหลายสาเหตุนะ อย่างอาการซึมเศร้าของโยมันบรรเทาได้ด้วยครอบครัว มีเพื่อนที่สามารถพูดคุยได้
ดังนั้น โยคิดว่าเราควรหมั่นสังเกตคนใกล้ตัวอย่างใกล้ชิด ดูว่าเขามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า พูดคุยกับเขาและเข้าใจเขาจริงๆ โยเชื่อว่าทุกอย่างมันจะผ่านไปได้ด้วยดี”
“ร้ายกาจ-เกเร-หัวร้อน” ไม่มีแล้วคนเก่า!
อย่างที่เห็นกันว่า ชื่อของ 'โย-ยศวดี' จากกระแสข่าวที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเธอจะถูกนิยามตัวตนไปในหลายๆ ข้อครหา ซึ่งเธอยอมรับกับเราว่าแม้ที่ผ่านมาจะมีข่าวคราวที่ไม่สู้ดีอยู่บ้าง แต่ 'เวลา' เท่านั้นคือสิ่งเดียวที่พิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่ใครหลายคนเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของเธอ 'ความจริง' จะบอกเองว่าทุกอย่างเป็นเช่นไร!
“แต่ละช่วง แต่ละวัย เราปฏิเสธไม่ได้นะว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ในช่วงวัยรุ่น โยยอมรับเลยว่าเป็นเด็กเกเร แต่ไม่ร้ายกาจ โยไม่เคยทำร้ายใครก่อน มันอาจไม่ดีตรงที่ว่าโยไม่ค่อยมีความอดทน อาจมีเรื่องวิวาทบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ พอเข้าวงการก็ดึงเอานิสัยตรงนี้มาใช้ เช่น ไม่มีความอดทนกับคนที่พูดกัดจิก ด่าทอเรา ให้ร้ายหรือโกหกกับเรา
โยจะมีความรู้สึกว่าทำไมคนต้องโกหก ในเมื่อความจริงก็คือความจริง สมัยตอนที่มีข่าวต่างๆ ว่าเป็นมือที่สาม เราพยายามยืนหยัดอยู่บนคำว่า 'ความจริง' แต่ในสังคมกลับชอบ 'คำโกหก' ที่ถูกปั้นแต่งมาให้ดูสวยงาม คนมักจะเชื่อในแบบนั้น และมักมองว่าเราร้ายกาจจากสิ่งที่เราพูด ซึ่งมันค่อนข้างโผงผาง หรือชอบหาเรื่องคนอื่น
ตรงนี้คือนิสัยที่ติดมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมันจึงเริ่มเปลี่ยน ทุกวันนี้คิดว่าถ้าเมื่อก่อนเราคิดได้แบบนี้ การที่จะทำให้ใครสักคนเชื่อในสิ่งที่เราเป็น เราไม่ควรเอาความโมโหร้ายของเราแสดงออกไป เราควรแสดงความเป็นตัวตนของเราอย่างใจเย็นและอดทน
ภาพที่เห็นได้ชัดเจนตรงหน้า คือ ผู้หญิงใจเย็น มีความอดทน และใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง ตัวตนของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่หันหน้าเข้าสนามแข่งกีฬาอย่างเต็มตัว
หลายคนอาจยังไม่เชื่อว่าการเล่นกีฬาสามารถเปลี่ยนแปลงการมองโลกของใครสักคนได้มากขนาดนั้นจริงๆ น่ะหรือ ซึ่งเธอกำลังบอกกับเราแบบนั้น
“ถามว่าพอได้มาเป็นนักกีฬาในตอนนี้ โยใจเย็นขึ้นเยอะเลยนะ ถ้าเราสามารถซ้อมกีฬาวันๆ หนึ่งได้หลายชั่วโมง เราอยู่บนจักรยานได้ 5-6 ชั่วโมงโดยที่มันไม่เบื่อ เราคงต้องมีความอดทนสูง ทุกวันนี้โยจึงทำอะไรได้เรื่อยๆ ไม่ค่อยเป็นคนที่ใจร้อนเหมือนวัยรุ่น ทุกอย่างจะสโลว์ลงเยอะ
โยพยายามใช้ความสงบในการสงบศึก พูดน้อยกว่าเท่าที่คนจะคาดคิดว่าทำไมเราถึงพูดน้อยจัง ทำไมเราไม่ตอบโต้ จริงๆ แล้วโยเริ่มเบื่อกับแนวทางนี้ วันหนึ่งความจริงจะปรากฏเองว่าใครเป็นยังไง ผิด-ถูกคืออะไร แต่ถ้าวันนี้ เรายิ่งไปจี้ว่าฉันถูก เธอผิด คนไม่มีทางจะเข้าใจ เพราะมันยังไม่ถึงเวลาในการพิสูจน์
กีฬาทำให้โยมองโลกเปลี่ยนไป รู้สึกเลยว่าไม่อยากวิวาทกับใคร ไม่อยากมีปัญหากับใคร ใครอยากมีปัญหากับเรา ก็ไม่เป็นไร ทุกวันนี้พูดได้เลยว่าไม่เคยเกลียดใครและไม่เคยรู้สึกไม่ชอบหน้าใคร กีฬามันทำให้โยรู้ว่าอะไรคือเรื่องจริง เราไม่สามารถเกลียดคนๆ หนึ่งได้ โดยที่เราไม่รู้จักเขาเลย”
Simple Life = Simple Love
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้มุมมองความรักของโยเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ การเปิดใจรักใครอีกสักคน มันก็มีกรอบกำบังของตัวเอง ทุกวันนี้กรอบกำบังนั้นก็ยังอยู่ ถึงแม้ว่าจะคบกันมากว่า 7 ปีแล้วก็ตาม”
เหมือนว่ากำแพงบางอย่างจะยังไม่ถูกทำลายไปได้ง่ายๆ เธอยอมรับว่ามุมมองความรักในเวลานี้ต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ความเรียบง่าย ไม่หวือหวา ความเข้าใจ และรู้จักรักตัวเองอย่างดีที่สุด นี่แหละคือสิ่งที่เธอมองว่าจะสามารถทำให้ชีวิตรักมีความสุขและยั่งยืนได้
“ทุกวันโยก็ยังใช้ชีวิตเหมือนคนเป็นโสด โยค่อนข้างมีอิสระในตัวเอง บทเรียนรักครั้งเก่าสอนเราให้รู้ว่าเราควรมีความสุขกับชีวิตเราเยอะๆ และไม่ควรเอาชีวิตเราไปผูกมัดกับใคร 100 เปอร์เซ็นต์
การแต่งงานมันก็คือการเอาชีวิตไปผูกมัดกับใครสักคน ถ้าเราไม่พร้อมจริงๆ ไม่อยากให้ตัดสินใจแต่งงาน ปัจจุบันแต่งแล้วหย่าเยอะ ยิ่งทำให้ผู้หญิงท้อใจกับการใช้ชีวิต ฉะนั้น คนที่โสด แต่มีความสุขและมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตก็อย่าไปกลัว
ความรักของโยตอนนี้ คือคำว่า 'simple' เลย ทำทุกอย่างให้มีความสุขในฐานของคำว่าเรียบง่าย ไม่หวือหวา ตอบโจทย์ของคำว่าความสุขเรียบง่าย โยไม่ชอบอะไรที่มันแฟนตาซี เพราะเรามีมาหมดแล้ว เราเฉยๆ เราผ่านจุดนั้นมาจนหมด
ปัจจุบันโยต้องการคนที่คุยกันรู้เรื่อง ผู้ชายที่รับฟังเรามากกว่าเราต้องรับฟังเขา ถือว่าเป็นความโชคดีที่ได้เจอคนแบบนี้ ในอีก 5 ปี ถามว่าชีวิตรักของโยจะเป็นยังไง ก็คงเป็นแบบนี้ โยอาจจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ยังไม่รู้ แต่คิดว่าคงไม่มีลูกแน่ๆ ถ้าให้มองตัวเองในอีก 5 ปีก็ยังคงเป็นนักกีฬาอยู่”
ด้วยความที่เธอเป็นนักกีฬา แน่นอนว่าเวลาส่วนใหญ่ที่มีคงใช้ไปกับการฝึกซ้อม เราอดถามไม่ได้ว่าในฐานะที่เธอไม่ใช่สาวโสดร้อยเปอร์เซ็นต์ มีบ้างหรือไม่ที่แฟนหนุ่มจะเกิดอาการน้อยใจหากว่าเธอไม่มีเวลาให้เหมือนคู่รักคนอื่นๆ
“ผู้ชายที่อยู่ด้วยก็คงต้องเป็นผู้ชายที่เข้าใจว่ามีแฟนเป็นคนที่แข็งแกร่งนะ เราสามารถดูแลตัวเองได้เช่นกัน อย่างแฟนโย คุณหนึ่ง เขาเข้าใจนะ เขาไม่ค่อยเรียกร้องอะไร โยคบมา 7 ปี เราเป็นยังไงกันก็ยังเป็นแบบนั้น เขาและเราได้โชว์ตัวตนของกันมาตั้งแต่แรก
เรียกได้ว่าเราแสดงออกในสิ่งที่เราอยากได้และอยากรับ เราพร้อมที่จะให้และรับ ทุกอย่างมันเคลียร์มากตั้งแต่แรก ฉะนั้น 7 ปีมันเลยเป็นเบสิกที่มาเรียบๆ ถามว่าถ้าวันนี้ต้องเลิกกัน เราก็คงยังเป็นเพื่อนกันอยู่
ถ้าเลิกกันคงในเหตุผลที่คุณหนึ่งอยากแต่งงาน อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ถ้าแบบนั้นโยยินยอมที่จะให้คุณหนึ่งได้เจอคนที่เหมาะสมกับเขา”
“ครอบครัว” คือ “ยา” ที่ดีที่สุด
“ตั้งแต่โยโตมาที่จำความได้ โยอยู่กับพี่สาวและแม่ เพราะคุณพ่อเสียตั้งแต่เรายังเป็นเด็กวัยรุ่น ก็เลยคิดว่าครอบครัวเราก็ไม่ได้มีประชากรมาก เราก็ดูแลซึ่งกันและกันมากที่สุด คุณแม่เป็นคนค่อนข้างแข็งแกร่งและหัวรั้นคล้ายๆ โย (หัวเราะ) ส่วนพี่เอ(พี่สาว)จะเป็นเหมือนน้ำ เขาจะเย็นเวลาที่เราร้อนมากๆ เขาจะคอยประโลม
ครอบครัวเราจึงมีความสมดุลได้ แต่ในความสมดุลมันก็มีความอ่อนแอซ่อนอยู่ เราจึงต้องช่วยกันดูแล ช่วยกันประคองกันไป โยทำหน้าที่ทั้งเป็นน้องสาวและหัวหน้าครอบครัวไปด้วย”
ความเข้มแข็งและความผูกพันระหว่างครอบครัวถูกสะท้อนผ่านสายตาของเธอตลอดบทสนทนา หลังจากที่สูญเสียคุณพ่อไปนั้น ทำให้เธอต้องมีส่วนช่วยในการดูแลครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย นั่นจึงทำให้ครอบครัวคือสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเธออย่างมาก และแน่นอนว่าคือพลังใจที่ดีที่สุดในทุกๆ ช่วงชีวิตของเธอ
“แม่โยเป็นคนที่เก่ง แม่ไม่พึ่งพาใคร ทั้งเป็นคนที่ค่อนข้างมั่นใจและตัดสินใจเด็ดขาด ตั้งแต่ที่ไม่มีคุณพ่อ คุณแม่ต้องทำหน้าที่อย่างแข็งแกร่ง เพื่อให้ลูกๆ ยอมรับได้ว่าแม่สามารถดูแลครอบครัวได้ ส่วนจุดอ่อนของแม่ คือ แม่เป็นคนรักสัตว์มาก แม่จะเก็บสัตว์มาเลี้ยงในบ้านเยอะมาก
เมื่อก่อนที่บ้านโยมีแมวเป็นร้อยๆ ตัว มีหมาร้อยๆ ตัว ถือว่าเยอะมากสำหรับคนๆ หนึ่งที่จะดูแลหลายชีวิตขนาดนั้น หลังๆ น้องหมา น้องแมวที่เลี้ยงเริ่มแก่ตายไปบ้าง หรือมีคนมาขอเลี้ยงบ้าง แม่ก็ได้มีเวลาทำอย่างอื่นบ้างเยอะขึ้น
ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมา แม่ต้องใช้เวลาไปกับการดูแลสัตว์ป่วย สัตว์ยากไร้ที่ถูกทิ้งตามวัด จนกลายเป็นที่เลื่องลือว่าแม่เราทำมูลนิธิย่อมๆ ในบ้าน พอคนรู้ก็เริ่มมีคนช่วยเหลือเยอะ หรือมีคนนำอาหารมาส่งให้อีกที ถือว่าเป็นจุดที่ดีว่าแม่มีความอ่อนโยนในมุมหนึ่ง มันก็ส่งมาถึงเราด้วยเหมือนกัน เห็นอะไรไม่ได้ ก็เก็บมาเลี้ยงเหมือนกัน(หัวเราะ)
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องดูแลเรื่องงบประมาณด้วย ในเดือนๆ หนึ่งเราหมดไปกับการเลี้ยงสัตว์เป็นแสนเลย ทุกวันนี้มีแมวเกือบ 80 ตัว หมาก็เหลือ 10กว่าตัว ถือว่าน้อยลงไปเยอะ ซึ่งคนที่ซับพอร์ตตรงนี้หลักๆ ก็คือโย”
หากใครได้ติดตามอินสตาแกรมส่วนตัวของสาวโย '@yoyossavadee' คงได้เห็นภาพครอบครัวที่ถือได้ว่าเป็นนักกีฬากันทั้งบ้าน ซึ่งเธอเปิดใจกับเราว่าได้วางแพลนปั้นหลานสาวให้เป็นนักกีฬาเยาวชนระดับทีมชาติเลยทีเดียว!
“ตอนนี้หลานเป็นนักว่ายน้ำที่เราพยายามผลักดันให้เป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติให้ได้ ในอีก 2-3 ปี และเล่นไตรกีฬาด้วย ล่าสุดลงแข่งไอรอนคิดส์ก็คว้าถ้วยไปแล้วเรียบร้อย
โยมองว่าการที่เราเอากีฬาไปใส่ในเยาวชน เขาจะได้สนใจสิ่งไร้สาระน้อยลง ไม่มุ่งหน้าไปหายาเสพติด หรือไปหาเพื่อนที่ไม่ดี มีเวลาก็ซ้อมกีฬา วันหยุดก็เล่นกีฬา โยว่ามันเป็นอะไรที่เราวางแพลนมาอย่างดีแล้ว สำหรับหลานของเรา ส่วนตัวพี่สาวเอง ตอนนี้ถือว่าเริ่มจริงจังแล้ว ปั่นจักรยานหนักขึ้น มุ่งมั่นมากขึ้น
โยอยากให้ภาพลักษณ์ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่สนับสนุนในเรื่องการเล่นกีฬา โยมองว่าต้นแบบคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกวันนี้คนอาจมองว่าเล่นกีฬาเยอะมาก มองว่าไร้สาระ แต่นี่แหละคือสาระ เพราะเราเป็นต้นแบบให้กับสังคมและคนอื่นๆ ว่าการเล่นกีฬามันเปลี่ยนชีวิตเราได้จริงๆ”
อัพเลเวล! “ไตรกีฬา” สู่ “ปัญจกีฬา” คำว่า 'นักกีฬาทีมชาติไทย' ถือได้ว่าเป็นความใฝ่ฝันของนักกีฬาหลายต่อหลายคน ซึ่งความภาคภูมิใจของสาวโยในอีกหนึ่งบทบาทที่สังคมอาจได้เห็นในอนาคต คือการเตรียมความพร้อมเข้าคัดตัวสู่นักปัญจกีฬาทีมชาติไทย ซึ่งเจ้าตัวเปิดใจกับเราเลยว่าหลังการแข่งขันไอเอิร์นแมนในเดือนกรกฎาคมสิ้นสุดลง เธอเตรียมลุยฟิตซ้อมร่างกายเข้าคัดตัวอย่างเต็มที่! “ตั้งใจไว้ว่าหลังจากจบไอเอิร์นแมนในเดือนกรกฎาคม โยได้รับการติดต่อมาจากนักกีฬาทีมชาติปัญจกีฬา อยากให้เราเข้าไปคัดตัว โยเลยคิดว่าหลังจากจบไอเอิร์นแมน โยจะพักและลองมาฝึกซ้อมปัญจกีฬาดูว่าในปีหน้า โยจะสามารถเป็นนักกีฬาทีมชาติได้ไหม(ยิ้ม) เรียกได้ว่าปัญจกีฬาก็คือการแข่งกีฬา 5 อย่างด้วยกัน ทั้งยิงปืน ขี่ม้า ว่ายน้ำ วิ่ง และฟันดาบ มันจะเป็นกีฬาโอลิมปิกชนิดใหม่ ซึ่งคนไทยได้ลงแข่งเอเชี่ยนเกมส์แน่ๆ ปีนี้ที่เราจะได้เห็น แต่โยคัดตัวไม่ทัน เขาจึงติดต่อมาว่าอยากให้เราไปคัดตัวจังเลย จะได้รู้ว่าเราไหว ไม่ไหว และสามารถมาฝึกซ้อมกับเขาได้ก่อน เพื่อที่จะแพลนการแข่งในปีหน้า” จริงๆ แล้ว คำว่า 'ทีมชาติไทย' มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันภาคภูมิใจ คิดในหัวว่าถ้าวันหนึ่งเราได้ติดธงชาติไทยในฐานะนักกีฬาไทยจริงๆ ที่เป็นทีมชาติไทย วันนั้นคงเป็นวันที่โยคงภูมิใจที่สุด ไม่จำเป็นว่าจะต้องแข่งแล้วได้เหรียญทอง แต่มันเป็นความรู้สึกว่าเราได้รับใช้ประเทศเราอย่างเต็มที่ ในวันที่เราตัดสินใจว่าจะมาเล่นกีฬาและทำให้เต็มที่ ในฐานะนักแสดงไทย แต่คราวนี้พอเปลี่ยนบทบาทจากนักแสดงไทยเป็นนักกีฬาเต็มตัว ก็อยากทำให้เต็มที่เช่นกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าสนใจมาก เพราะส่วนตัวแล้วการยิงปืน โยไม่ค่อยห่วงเพราะเรียนยิงปืนอยู่แล้ว แต่ฟันดาบกับขี่ม้า เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ(ยิ้ม) เพราะว่ายน้ำกับวิ่ง โยทำอยู่แล้ว คิดว่าน่าจะเรียนรู้ได้ไม่ยาก ปีหน้าอาจได้เห็นบทบาทของโยในเวย์นั้น(ยิ้ม)” |
เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี