หนึ่งในเรื่องราวความประทับใจซาบซึ้งต่อพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นการถ่ายทอดข้อเขียนผ่านบล็อก Gotoknow จาก คุณจุฑารัตน์ เกียรติศิริโรจน์ พยาบาลประจำโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสรับรู้เรื่องราวพระเมตตาของพระองค์
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงรับสั่งให้พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จแทนพระองค์ ทรงเยี่ยมประชาชนและผู้ป่วยในวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่หาดใหญ่ในปี 2549
สร้างขวัญกำลังใจราษฎรทันทีทันใด
ในวันที่สมเด็จพระบรมฯ เสด็จฯ เยี่ยมผู้ป่วย ได้มีมหาดเล็กของพระองค์ท่านมาแจ้งและทำความเข้าใจกับผู้ป่วยแต่ละคนในการปฏิบัติตัวเมื่อสมเด็จพระบรมฯ เสด็จถึง นอกจากนี้ มหาดเล็กยังได้บอกให้ทราบถึง ความห่วงใยของในหลวง ร.๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่มีต่อพสกนิกร ทรงโปรดเกล้าให้สมเด็จพระบรมฯ เสด็จฯ แทนพระองค์ เพื่อทรงเยี่ยมผู้ป่วย พร้อมพระราชทานของเยี่ยมแก่ ผู้ป่วยทุกคน หากพระองค์ท่านรับสั่งถาม ให้ผู้ป่วยสามารถพูดตอบพระองค์ท่านได้ ไม่ต้องตกใจ กลัว และไม่ต้องกลัวว่าจะต้องพูดราชาศัพท์ พูดได้ตามปกติ พระองค์ท่านใจดี ไม่ถือตัว”
ในวันนั้น พระองค์ท่านได้เสด็จฯ เยี่ยมผู้ป่วยที่ ไอ.ซี.ยู 2 ราย และที่หอผู้ป่วยกระดูกและข้อหญิง จำนวน 11 ราย ส่วนผู้ป่วยอีก 1 ราย
คุณยายเชย วัชกาล วัย 70 ปี ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดหาดใหญ่เล่าถึงพระเมตตาของพระองค์ และย้อนยิ้มถึงความหลังในวันที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับสั่งถามอาการคุณยายเชย ว่า “เป็นอะไรมั้ย หายไว ๆ นะ เป็นห่วง”
จากนั้นคุณยายเล่าว่า พระองค์ท่านยื่นมือมาจับมือคุณยาย และทรงย่อตัวส่งถุงพระราชทานของเยี่ยมให้ เนื่องจากขาของคุณยายบาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่ได้
“เราก็จับมือพระองค์ท่านแล้วหอม 1 ที ปลื้มใจ ตื้นตันหมด เกิดมาไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้า ตอนรับถุง (ถุงพระราชทานของเยี่ยม) ขากระดุกกระดิกไม่ได้ ท่านย่อตัวลงส่งให้ โธ่ น่าสงสาร ท่านหัวเราะ เกิดมาเพิ่งได้เข้าใกล้ ผิวท่านเนียน มือก็เนียน ” คุณยายเชย บอกเล่าอย่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
ทหารของเราบาดเจ็บ...เราต้องไปรับทหารของเรา
นอกจากนี้ ยังมีคำบอกเล่าของ นพ.ธำรงค์รัตน์ แก้วกาญจน์ ชายวัย 84 ปี อดีตแพทย์ทหารบกผู้เคยตามเสด็จฯ สมเด็จพระบรมฯ ถึงพระเมตตาของพระองค์ที่มีต่อทหารชายแดนอย่างสุดพระทัย
“สมเด็จพระบรมฯ ทรงมีพระเมตตาต่อทหารในแถบชายแดนเป็นอย่างมาก โดยเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2520 ได้มีเหตุการณ์การปะทะกันเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติภารกิจในสมรภูมิ อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีทหารบาดเจ็บอยู่ในวงล้อม 10 นาย ขณะนั้น สมเด็จพระบรมฯ ทรงร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ทหารในศูนย์บัญชาการ และทรงได้ยินเสียงแจ้งเตือนมาจากวิทยุสื่อสารว่ามีทหาร 10 นาย ได้รับบาดเจ็บ รับสั่งแรกที่ทรงมีต่อเจ้าหน้าที่ทุกคน อันนำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจอย่างหาที่สุดมิได้แก่รั้วของชาติคือ “ทหารของเราบาดเจ็บ เราต้องไปรับทหารของเรา”
ครั้นพอสิ้นสุรเสียง ก็ทรงประทับเฮลิคอปเตอร์ และทรงเป็นผู้บัญชาการให้การช่วยเหลือทหารทั้ง 10 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ในวงล้อม มาส่งยังโรงพยาบาลอย่างปลอดภัยทุกนาย
ทว่า อีกเรื่องราวที่ทรงแผ่พระเมตตาไปทั่วนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อครอบครัวของ “อาแปะ” ชายชราเชื้อสายจีน ที่ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายใดๆ ในการชนรถยนต์พระที่นั่ง แม้ความเสียหายมูลค่า 2 ล้านบาท พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อประชาชน พระราชทานอภัยให้ประชาชนโดยไม่ถือโทษ
โดยเหตุการณ์ นี้เกิดขึ้นที่โรงแรมโอเรียนเต็ล หลังจากเสร็จจากงานแต่งของลูกเพื่อน ชายสูงวัยอายุกว่า 70 ปี เชื้อสายจีนบุคลิกท่าทาง คล้าย “อาแปะ” จึงให้พนักงานโรงแรมเอารถมาให้ พนักงานจึงยื่นกุญแจให้ อาแปะจึงขับออกไป แต่รถกลับไปพุ่งชนเบนซ์รุ่นใหม่เอี่ยม ที่จอดอยู่เต็มๆ แถมรถยังพุ่งไปชน บีเอ็ม ซีรีส์ 7 อีก 2 คัน ซ้อน ด้วยความตกใจอย่างแรงของอาแปะ คราวนี้จึงใส่เกียร์ถอยหลังเต็มที่ พุ่งชนรถลีมูซีนของโรงแรมอีก 2 คัน ด้วยแรงกระแทก ทำให้กระถางดอกไม้แถวนั้นแตกหมด เศษกระเบื้องยังหล่นลงมาใส่กระโปงรถอีก 2 คัน สรุปความเสียหายครั้งนี้อาแปะ ขับชน 7 คันรวด มูลค่าความเสียหาย ประมาณ 2 ล้านบาท
ครั้นเจ้าของรถถามถ้าเรียกค่าเสียหาย อาแปะจะทำอย่างไร อาแปะจึงตอบไปว่า คงต้อง “มีรถขายรถ มีบ้านขายบ้าน” เพื่อมาจ่ายค่าเสียหายในครั้งนี้ เพราะตัวเองมีอาชีพขายเครื่องไฟฟ้าเล็กๆ แถวอุรุพงษ์ ไม่ใช่คนร่ำรวย เจ้าของรถจึงพาอาแปะเดินไปดูส่วนที่เสียหาย ซึ่งรถคันนี้ “เจ้าของรถ” รักรถ และดูแลรถดีเยี่ยมแค่ไหน อาแปะจึงพาลูกเมีย เดินไปดู จากนั้น เจ้าของรถจึงขอคุยเป็นการส่วนตัวว่า พร้อมกล่าวว่า “ความเสียหายในครั้งนี้จะยกโทษให้” เพราะเห็นว่าครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยอะไร ถ้าให้จ่ายค่าซ่อมในครั้งนี้ ครอบครัวอาแปะ คงต้องลำบาก ครอบครัวอาจจะต้องเดือดร้อนในวันข้างหน้า และจึงหันหน้าไปบอกกับครอบครัวอาแปะ ว่า ไม่ควรให้พ่อขับรถอีก เพราะอายุมากแล้ว 71 ปีแล้ว ถ้าเกิดไปชนกลางถนน อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
จากนั้นอาแปะและลูกเมียหันไปมองหน้าเจ้าของรถตอนไฟสว่าง จึงทำให้แทบล้มทั้งยืน น้ำตาไหลไม่หยุด เพราะเจ้าของรถคือ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ทั้งครอบครัวทรุดตัวก้มลงกราบพระบาท ด้วยสำนึกในพระเมตตาธิคุณของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อย่างล้นพ้น และจดจำไปจนชั่วชีวิต ที่พระราชทานอภัย
ขณะเดียวกัน ตอนอาแปะก้มลงกราบ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทาน สติกเกอร์ 1 แผ่น เพื่อให้เตือนสติว่า “เมาไม่ขับ”
ทรงห่วงใยเด็กยากไร้ ด้อยโอกาส
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงห่วงใยเด็กด้อยโอกาส และยากจน ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติปี 2559 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานจักรยานแก่นักเรียนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาทั่วประเทศไทย ที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางไปเรียนหนังสือ เนื่องจากบ้านอยู่ไกลจากโรงเรียน จำนวน 9,900 คัน
ความพระเมตตาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ยังแผ่ขยายไปถึงเด็กพิการ ทรงรับสั่งให้ตามหา “น้องทาม” หรือ ด.ช.วรรณธนะ คำอินทร์ อายุ 11 ปี เด็กชายที่พิการไร้แขนมาตั้งแต่กำเนิด ที่นำรถจักรยานคู่ใจร่วมกิจกรรม Bike For Mom จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2558ทรงรับสั่งให้กองงานกิจการในพระองค์จัดทำรถจักรยานสำหรับเด็กไร้แขน ปั่นได้สะดวก และง่ายในการดำรงชีวิต เพื่อพระราชทานไปให้น้องทาม พร้อมทรงรับสั่งว่า “หัวใจเด็กคนนี้มีสีธงชาติ และแผ่นดิน น่านับถือ”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754