ต้องมีเหตุการณ์ โศกนาฎกรรมจากการรับน้อง ทุกปี ไม่ว่าจะว๊ากน้อง บังคับให้กินกะปิซดน้ำปลา กรึ้บเหล้าจนตาย หรือทิ้งดิ่งจนเลือดออกในสมอง...เสียชีวิตกันตล๊อด มาปีนี้คิดแหก เถื่อนถ่อยหนักเข้าไปอีก โดยให้น้องลงไปล้างตัวในบ่อบำบัดน้ำเสีย จนจมน้ำ อาการปางตายนอนหมดสติอยู่ในห้องไอซียู
แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยออกชี้แจงว่าเป็นบ่อน้ำฝน ไม่ใช่น้ำเสีย แถมเป็นการฝึกปฎิบัติที่มีอาจารย์และรุ่นพี่ดูแลใกล้ชิด ไม่ใช่รับน้อง!?! ชาวเน็ตจึงจัดกฐินแฉยับ...
พี่สาวโพสต์น้องชายนอนไอซียู เหยื่อรับน้องโหด
เพจเฟซบุ๊กนาม Nan Suratchawadee ได้โพสต์ข้อความต่อว่ารุ่นพี่ที่รับน้องชายตัวเองอย่างป่าเถื่อน
“เมื่อวาน พี่รหัสคนไหน ที่ทำกิจกรรมรับน้อง ไม่สร้างสรรค์ด้วยการให้น้องชายฉันลงไปล้างตัวในบ่อบำบัดน้ำเสีย จนน้องฉันจมน้ำ ต้องงมหาถึง 2 ครั้ง อาการสาหัส ปอดติดเชื้อรุนแรง นอนไม่ได้สติอยู่ ICU มีอีรุ่นพี่คนไหน รับผิดชอบชีวิตน้องได้บ้างคะ!!!”
พร้อมลิ้งค์ภาพหน้า เพจสโมสรนิสิตคณะพาณิชยนาวีนานาชาติ ที่โพสต์สเตตัส
“รูปจากพี่ๆ สายรหัสของน้องๆ บางส่วนนะคะ ^^”
เป็นอัลบั้มรูปหมู่นักศึกษาชายหญิงในสภาพคล้ายไปจุ่มโคลนมาครึ่งตัว
“ถามน้องผู้หญิงครับ ถ้าน้ำเสียเข้ารูน้อง จนเน่า ทำไงครับ ???”
ชาวเน็ตอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ทว่าเคสนิสิตน้องใหม่ที่อาการสาหัสอยู่ตอนนี้คือ
“เด็กผู้ชายในภาพชื่อน้องบอสค่ะ โชคชัย ทองเนื้อขาว เด็กหนุ่มอนาคตไกล อดีตประธานนักเรียนโรงเรียนสันติราษฎร์รุ่น 40”
สมาชิกเฟซบุ๊กชื่อ Pook Sukonta Berthebaud โพสต์บอกชื่อจริงนามสกุลจริง พร้อมบุคลิกลักษณะนิสัย รวมทั้งแสดงความคิดเห็น
“บอสเป็นเด็กกิจกรรม เพื่อนๆ และรุ่นน้องรวมถึงครูบาอาจารย์รักเขามาก บอสมีรอยยิ้มที่สดใสและได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และโดนรุ่นพี่จากคณะพาณิชย์นาวีนานาชาติรับน้องด้วยวิธีป่าเถื่อนในบ่อบำบัดน้ำเสีย ผลคือน้องจมน้ำเน่า และตอนนี้กำลังอยู่ในห้อง ICUโรงพยาบาลชลบุรี โดยไร้รุ่นพี่คนใดและมหาวิทยาลัยคนใดเหลียวแล
พวกคุณเป็นอะไรเป็นบ้าหรือเปล่าถึงทำลายอนาคตของเด็กผู้ชายคนนี้ด้วยวิถีโง่ๆ ของคนที่เป็นปัญญาชนจนเขาได้รับอันตรายร้ายแรง จนบัดนี้บอสยังไม่ฟื้นเลย เราขอประณามทางมหาวิทยาลัยที่ปล่อยให้เกิดกิจกรรมทุเรศๆ และต่อต้านการรับน้องในคณะทุกรูปแบบ พูดเลยพ้นรั้วมหาลัยมาสิบกว่าปีไม่เคยได้ใช้ประโยชน์อะไรจากการรับน้องแม้เพียงสักอย่างเดียว อยากรับน้องแบบผู้เจริญไหม? นู่นเขารวมตัวกันไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคมค่ะ เขาไม่ใช้สูติบัตรเกิดก่อนบังคับฝืนใจใครให้มากราบไหว้หรือใช้อำนาจข่มใครรู้ไว้นะอีหนู
ป.ล. เมื่อสักครู่น้องในมหาลัยติดต่อมาว่า ไม่ใช่ท่อบำบัดน้ำเสียค่ะ เป็นท่อทิ้งสารเคมี ซึ่งโหดกว่าเดิมสิบเท่าตัว T-T ส่วนรุ่นพี่แจ้งว่าเป็นบ่อน้ำฝน ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เดี๋ยวก็รู้ค่ะ”
แน่นอน ชาวเน็ตล้วนไม่พอใจ พากันประนาม อยากให้ยกเลิกกิจกรรมที่ไม่สร้างสรรค์
“ยกเลิกไปเหอะไอ้ระบบรับน้องโลดโผนเนี่ย มันคงไม่ทำให้พี่รักน้อง น้องรักพี่มากขึ้นนักหรอก วิธีรับน้องดีๆ มีเยอะไป เช่น สอนน้องร้องเพลงประจำคณะ ประจำมหาลัย หรือรับน้องโดยพาน้องๆชมมหาลัย ตึกเรียน เพราะคงไม่ได้เรียนอยู่ที่คณะตัวเองตลอดหรอก หรืออะไรก็ตามที่มันดูดีกว่านี้ ปัญญาชนแล้ว คิดให้มันเยอะๆหน่อย เพราะมันมีผลที่ตามมาไม่ใช่เอาแต่คึกคะนอง”
“รับน้องบางครั้งต้องสร้างสรรค์บ้าง ไม่ใช่ไร้สาระเหมือนทุกวันนี้ ให้อำนาจความเป็นรุ่นพี่สั่งให้ทำ ไม่ทำก็บีบ จนบางคนไม่กล้าเข้าเรียนมหาลัยอีกเลย รุ่นพี่ควรใช้สมองให้มากๆ ในการรับน้อง สิ่งไหนควรไม่ควร การสั่งให้ลงบ่อบำบัดน้ำเสียนี่มันไม่สร้างสรรค์เสีย แถมยังอันตรายต่อรุ่นน้องอีก เรื่องนี้ รุ่นพี่ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ”
มีผู้โพสต์เล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ และแฉพฤติกรรมวิธีคิดวิธีบ่ายเบี่ยงของอาจารย์
“เมื่อวานตอนกลางคืนมีการรับน้องกับพี่รหัส แล้วเค้าให้น้องบอสไปแช่น้ำในบ่อบำบัดน้ำเสีย รอบแรกขึ้นมาเค้าบอกไม่สะอาด ให้ลงไปล้างในบ่ออีกรอบ พอรอบสอง น้องไม่ไหว คงจะจมน้ำ และคนก็งงหากัน ไม่เจอ มางมเจออีกทีครั้งที่ 2 แล้วทางอาจารย์ก็นำส่งรพ.สัตหีบ(ไม่แน่ใจชื่อรพ.นะคะ จำไม่ได้) ทางรพ.ไม่รับเพราะหนักไป เลยย้ายมารพ.ชลบุรีแทน ตอนนี้อยู่ ICU ยังไม่ฟื้นค่ะใช้เครื่องช่วยหายใจปอดติดเชื้อรุนแรงรอดูอาการอย่างเดียว
เมื่อตอนเย็นมีอาจารย์คนหนึ่งโทรมาและบอกว่าทางมหาลัยเตือนแล้วไม่ให้ไปในที่นั้นอันตราย แต่เด็กๆ ไปกันเอง แต่มีเพื่อนคนหนึ่งในมหาลัยเดียวกัน โทรมาบอกว่า มีอาจารย์สั่งไม่ให้พูดเรื่องนี้ ให้เงียบเอาไว้ค่ะ”
ยิ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแจงเป็นบ่อน้ำฝน! ไม่ใช่รับน้อง!
อุณหภูมิความไม่พอใจสูงขึ้น เมื่อ จงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ออกมากล่าวว่าไม่ใช่บ่อบำบัดน้ำเสียหรือสารเคมี แต่เป็นบ่อน้ำปกติที่รองรับน้ำฝน
“ผมขอชี้แจงก่อนว่า บ่อน้ำดังกล่าวไม่ใช่บ่อบำบัดน้ำเสีย หรือบ่อบำบัดสารเคมี แต่เป็นบ่อน้ำปกติที่รองรับน้ำฝน และน้ำที่ไหลมาจากภูเขาด้านหลังมหาวิทายลัย ซึ่งคณะพาณิชย์นาวีจะใช้บ่อดังกล่าวในการฝึกภาคปฏิบัติและเป็นสิ่งที่ทำมาตลอด เนื่องจากเป็นคณะที่เรียนด้านการขนส่งทางน้ำ ทั้งนี้ ในวันเกิดเหตุเข้าใจว่าเด็กถูกรับน้องมาจนเหนื่อยและต้องลงไปว่ายน้ำในบ่ออีก ซึ่งต้องตรวจสอบ เบื้องต้นรุ่นพี่ที่จัดกิจกรรมทั้งหมด หากพบว่าทำไปด้วยความประมาทเลินเล่อก็จะต้องมีความผิด เรื่องนี้มหาวิทยาลัยไม่ปัดความรับผิดชอบแน่นอน ผมได้ย้ำไปแล้วว่า ห้ามทุกคณะจัดกิจกรรมรับน้องรุนแรง และกิจกรรมทุกอย่างของ มก.จะต้องมีอาจารย์ดูแล ดังนั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ผมคงไม่ปัดความรับผิดชอบ”
เจ้าทุกข์เพจ Nan Suratchawadee โพสต์สวนกลับทันทีว่า
“ประเทศแห่งการเลี่ยงบาลี เพื่อให้พ้นผิดไป อุบาทว์”
ซึ่งมีชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นว่า
“ลองให้ไอ้คนที่บอกว่าบ่อน้ำฝนมันลองไปลงดูสิ คิดได้เนอะลงบ่อน้ำฝนแล้วติดเชื้อ...”
เพจเฟซบุ๊ก ANTI SOTUS โพสต์ภาพสภาพบ่อ ที่ถ่ายจากสโมสรนิสิตวิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติ ให้เห็นจะๆ โดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ เลย ว่าขุ่นขลักขนาดไหน จนมีคนมาแซวว่า “เป็นบ่อที่รอบำบัด”
ต่อมาอุณหภูมิระอุขึ้นไปอีก ก่อโชค จันทวรางกูร รักษาการรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) วิทยาเขตศรีราชา กล่าวว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ใช่การรับน้อง แต่เกิดขึ้นขณะฝึกภาคปฏิบัติเพื่อเตรียมกายและใจให้พร้อมก่อนที่จะออกปฏิบัติการเดินเรือ และออกฝึกปฏิบัติการทางทะเลในชั้นปีที่ 3-4 โดยชั้นปีที่ 1 จะเป็นการฝึกปฏิบัติการเพื่อเตรียมกายและใจให้พร้อมก่อน
การฝึกปฏิบัติการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรพาณิชยนาวีฯ ซึ่งได้ดำเนินการเรื่อยมาตั้งแต่เปิดภาคเรียนคือเมื่อต้นเดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน และมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากวันเสาร์ที่ 10 กันยายนเป็นวันรับน้อง ซึ่งเป็นการรับน้องในภาพรวมของมหาวิทยาลัย จึงทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นการรับน้อง
“บ่อดังกล่าวไม่ใช่บ่อบำบัดน้ำเสีย แต่เป็นบ่อที่ขุดขึ้นเพื่อรองรับน้ำฝนซึ่งใช้สำหรับการฝึกภาคปฏิบัติของนิสิตคณะพาณิชยนาวีฯ ที่ผ่านมานิสิตก็ใช้บ่อดังกล่าวในการฝึกภาคปฏิบัติมาโดยตลอด บ่อลึกประมาณ 2 เมตร ก้นบ่ออาจจะมีตะกอนอยู่บ้าง ซึ่งก็ใช้ฝึกเพื่อให้นิสิตเตรียมกายและใจให้พร้อมก่อนที่จะออกสู่ทะเลจริงในชั้นปีที่ 3-4”
โดยยืนยันว่า การฝึกปฏิบัติที่ผ่านมามีอาจารย์ดูแล และมีรุ่นพี่ที่ผ่านการฝึกปฏิบัติมาแล้วมาช่วยดูแลด้วย เนื่องจากการมีนิสิตร่วมฝึกปฏิบัติการประมาณ 100 คนและนับตั้งแต่เปิดหลักสูตรพาณิชยนาวีฯ เข้าสู่ปีที่ 11 เพิ่งมาเกิดเหตุการณ์นิสิตประสบอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยคำนึงถึงความปลอดภัยของนิสิตเป็นสำคัญ แต่จากเหตุการณ์นี้ ทางหลักสูตรฯจะทบทวนมาตรการดูแลความปลอดภัยให้มากขึ้น
ทว่าสมาชิกเฟซบุ๊กผู้ใช้นามว่า Narupon Arjharn โพสต์อัพเดทล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 ของวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมาว่า
"...ส่วนเรื่องที่ทางมหาวิทยาลัยแจ้งว่าไม่ใช่การรับน้องนั้น ทางครอบครัวน้องบอสให้ข้อมูลว่า เมื่อวานนี้อาจารย์ในคณะได้โทรมาคุย แจ้งว่า เป็นกิจกรรมเฉลยพี่รหัส (สำหรับผมคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรับน้อง) ซึ่งตัวของน้องบอสเปื้อนโคลน รุ่นพี่จึงให้ไปล้างในบ่อ รอบแรกน้องล้างเสร็จและขึ้นมา แต่รุ่นพี่บอกว่ายังไม่สะอาด จึงให้ลงไปล้างใหม่ น้องจึงจมหายไป และมี*รุ่นพี่ของคณะอื่นผ่านมาเห็นจึงดำน้ำมาช่วย รอบแรกหาไม่เจอ จึงดำไปอีกรอบจึงหาเจอและรีบนำส่ง รพ.”
ถ้าเป็นการฝึกปฏิบัติที่มีอาจารย์และรุ่นพี่ดูแล ตามที่รักษาการรองอธิการบดีฯกล่าว ก็ไม่น่าจะเกิดการทิ้งช่วงระยะเวลาการช่วยเหลือ น้องจมหาย ต้องมีการงมหา
“คำถามคือ ระบบรักษาความปลอดภัย ไลฟ์การ์ด การเตรียมหน่วยปฐมพยาบาล ในการฝึกแบบนี้ มีรองรับไหมครับ แล้วก็ถ้าเป็นการฝึกของภาควิชานี่ คนที่ต้องรับผิดชอบคือมหาลัยแล้วนะครับ” เพจดัง Drama Addict แสดงความเห็นต่อประเด็นนี้
เสียงโซเชียลเรียกร้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
“ออกมารับผิดชอบเหอะ ตอนทำกล้ากันจัง”
“แจ้งข้อหาพยายามฆ่ากับรุ่นพี่ทั้งหมดเลยครับ ถ้ามีเงินเยอะหน่อย ก็จ้างทนายเล่นพวกนี้เลยครับ ติดคุกได้ยิ่งดีพวกขยะสังคมแบบนี้”
“ขอให้น้องปลอดภัย ใครที่เกี่ยวข้องกับการรับน้องครั้งนี้จะต้องรับผิดชอบ ต้องเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด ชีวิตคนๆนึงจะต้องมีเสี่ยงเพราะรุ่นพี่เลวๆพวกนี้มันไม่ยุติธรรม”
“นำรุ่นพี่ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษตามกฏหมายบ้านเมือง มหาวิทยาลัยต้องรับผิดชอบตั้งแต่ตัวมหาลัย จนถึงผู้บริหาร อาจารย์ที่เกี่ยวข้อง อย่าปล่อยให้ลอยนวล”
ตัวอย่างเสียงเรียกร้องชาวเน็ต ซึ่งเพจ ทนายเพื่อนคุณ ไม่รอช้า รีบให้ข้อมูลด้านกฎหมาย
“รุ่นพี่บังคับรุ่นน้องดำน้ำในบ่อน้ำเน่า ย่อมเจตนาเล็งเห็นผลว่าน้ำเน่ามีอันตราย ดังนั้นผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส คุกสูงสุด 10 ปี
อ่านข่าวเรื่องการรับน้องก็ ละเหี่ย!!ใจ กับพฤติกรรมรุ่นพี่บางคนที่ขาดซึ่งวุฒิภาวะ คึกคะนอง สนุกกับการเล่นแผลงๆบนความทุกข์ของรุ่นน้อง สำหรับกรณีรุ่นพี่บังคับให้รุ่นน้องดำน้ำในบ่อน้ำเน่า จนน้องจมน้ำและต้องนอน ICU ถ้าเป็นแบบนี้!!ก็บอกได้คำเดียวว่าคุกนะ!!”
“การกระทำและพฤติกรรมของรุ่นพี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลักๆ ดังนี้
1.โดนความผิดฐานบังคับข่มขืนใจผู้อื่น ในการบังคับให้ดำน้ำในบ่อน้ำเน่า และคงไม่มีใครอยากดำในน้ำเน่าหรอก แบบนี้ผิด ตามมาตรา 309 ป.อาญา เต็ม!เต็ม!! "ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
2.จากการที่รุ่นน้องจมน้ำและสำลักน้ำจนปอดติดเชื้อได้รับอันตรายสาหัสก็โดนอีกกระทง ซึ่งรุ่นพี่ย่อมเล็งเห็นผลว่าบ่อน้ำเน่าย่อมมีอันตรายไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคต่างๆรวมทั้งบ่อน้ำเน่าปุถุชนอย่างเราๆท่านๆคงไม่มีใครลงไปดำเล่นเพราะเต็มไปด้วยสิ่งอันตรายดังนั้นรุ่นพี่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297 ป.อาญา " ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงสิบปี
อันตรายสาหัสนั้น คือ ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท, เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์, เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด, หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว, แท้งลูก, จิตพิการอย่างติดตัว, ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต, ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ยี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน... …”
ณ เวลานี้ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยออกมาชี้แจงว่าไม่ใช่บ่อน้ำเสีย หากเป็นบ่อน้ำฝน แถมยังบอกว่าเป็นการฝึกปฎิบัติที่มีความปลอดภัย อาจารย์และรุ่นพี่ดูแลใกล้ชิด ไม่ใช่กิจกรรมรับน้อง
ช่างสวนทางกับสิ่งที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า พรรคพวกเพื่อนฝูงต้องช่วยกันงมขึ้นมา พบว่าจมน้ำไปแล้ว 2 นาที จากนั้นไม่รู้สึกตัว จึงตัวนำส่งโรงพยาบาล และจากการเปิดเผยของ นายแพทย์ชุติเดช ตาบองครักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชลบุรีถึงกรณีน้องบอสว่า ดูจากประวัติรับการรักษาได้เข้ามารักษาเมื่อวันที่ 8 กันยายน เมื่อเวลาประมาณ 21.00น. มีอาการหมดสติไม่รู้สึกตัว ทางทีมแพทย์จึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และจากการรักษาพบว่า น้องมีอาการติดเชื้อที่ปอดทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากมีการสำลักน้ำ ทางแพทย์จึงจำเป็นต้องให้ยานอนหลับ เพราะไม่ต้องการให้น้องรู้สึกตัวเพราะจะมีอาการต้านเครื่องช่วยหายใจ และยังคงต้องให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อในปอด
...สงสัยบ่อน้ำฝนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ “เน่า”.!!!
ขอบคุณภาพจากเรื่องเล่าเช้านี้, FB: Anti Sotus
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754